วันจันทร์ที่ 27 กันยายน พ.ศ. 2553

กิจกรรมส่งเสริมการเรียนรู้ หน่วยที่ 7

ให้นักเรียนตอบคำถามเป็นรายบุคคล เมื่อครูยกตัวอย่างกรณีศึกษาว่า ถ้าต้องการนำข้อมูลนักเรียนไปจัดเก็บไว้ในระบบคอมพิวเตอร์ เพื่อใช้เป็นข้อมูลสำหรับงานทะเบียน ในการบันทึกผลคะแนนให้แก่นักเรียนแต่ล่ะคน และสำหรับงานปกครอง เพื่อใช้ในการบันทึกข้อมูลนักเรียนที่มาสาย ลา หรือขาดเรียน เราควรจะประมวลผลข้อมูลแบบแฟ้มข้อมูล หรือแบบฐานข้อมูล เพราะอะไร
ตอบ
แบบฐานข้อมูล เพราะว่าสามารถใช้ข้อมูลร่วมกันได้ การจัดเก็บข้อมูลไว้ในที่เดียวจะช่วยให้แต่ล่ะงานสามารถใช้ข้อมูลร่วมกันได้

วันพุธที่ 22 กันยายน พ.ศ. 2553

กิจกรรมส่งเสริมการเรียนรู้ หน่วยที่ 5

1.ให้นักเรียนค้นหาข้อมูลจากอินเตอร์เน็ตโดยให้หาความหมายของคำว่า open source

ตอบ
โอเพนซอร์ซ หรือ โอเพนซอร์ส [1] (open source) คือวิธีการในการออกแบบ พัฒนา และแจกจ่ายสำหรับต้นฉบับของสินค้าหรือความรู้ โดยเฉพาะซอฟต์แวร์ โดยโอเพนซอร์ซถูกพิจารณาว่าเป็นทั้งรูปแบบหนึ่งในการออกแบบ และแผนการในการดำเนินการ โดยโอเพนซอร์ซเปิดโอกาสให้บุคคลอื่นนำเอาระบบนั้นไปพัฒนาได้ต่อไป

2.ให้นักเรียนบอกซอฟต์แวร์ที่พัฒนาโดยคนไทย และให้บอกคุณสมบัติของซอฟต์แวร์ดังกล่าว
ตอบ
ไอดิโอเทคฯ พัฒนา “ซอฟต์แวร์บริหารเครือข่ายอัจฉริยะ” แก้ปัญหาอินเทอร์เน็ตความเร็วสูงในอาคารใหญ่
ปัจจุบัน อินเทอร์เน็ตนับเป็นแหล่งความรู้ที่เข้าถึงได้ง่ายและรวดเร็ว อีกทั้งเป็นช่องทางสำคัญในการติดต่อสื่อสารที่โดยเฉพาะกับภาคธุรกิจ และ “อินเทอร์เน็ตความเร็วสูง” ที่กำลังเป็นที่นิยมในขณะนี้ก็เกิดจากการพัฒนาขีดความสามารถอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้คนทุกกลุ่มสามารถเข้าถึงเทคโนโลยีสารสนเทศเหล่านั้นได้สะดวกยิ่งขึ้น
การใช้งานอินเทอร์เน็ตภายในอาคารมีความต้องการที่เพิ่มสูงขึ้น ทำให้ประสบปัญหาการแบ่งปันความเร็วในการต่อเชื่อมอินเทอร์เน็ต (Internet Speed Sharing ) ที่มีผู้ใช้งานพร้อมกันจำนวนมาก โดยมีความเร็วไม่เท่ากันและไม่สม่ำเสมอ เพราะมักมีผู้ใช้งานส่วนหนึ่งดาวน์โหลดไฟล์ที่มีขนาดใหญ่อยู่ตลอดเวลา ทำให้ความเร็วในการเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตส่วนใหญ่ต้องสูญเสียไปหรือตกไปอยู่ที่กลุ่มผู้ใช้งานกลุ่มดังกล่าว ส่งผลให้ผู้ใช้งานกลุ่มที่เหลือไม่สามารถใช้งานอินเทอร์เน็ตได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยเฉพาะในเวลาเร่งด่วน ถึงแม้ว่าทางเจ้าของอาคารหรือองค์กรจะพยายามแก้ปัญหาโดยการเช่าสัญญาณอินเทอร์เน็ตความเร็วที่สูงมากขึ้น 2 หรือ 3 เท่าแล้ว ก็ยังไม่สามารถแก้ปัญหาได้ เพราะเป็นการแก้ปัญหาที่ไม่ถูกจุด อีกทั้งยังทำให้ต้องสิ้นเปลืองค่าใช้จ่ายต่อปีเป็นมูลค่าสูงโดยไม่จำเป็นแล้ว

หรือแม้แต่การนำเข้าอุปกรณ์ฮาร์ดแวร์ (Hardware) จากต่างประเทศมาช่วยควบคุมคุณภาพการใช้อินเทอร์เน็ต ซึ่งก็สามารถแก้ปัญหาได้ แต่อุปกรณ์เหล่านั้นมีราคาแพงและรูปแบบการปรับความเร็วยังมีจำกัด ไม่เหมาะต่อการทำ Quality of Services ที่สอดคล้องกับความต้องการทางธุรกิจ ซึ่งต้องแก้ปัญหาในเรื่องของการจัดสรรทรัพยากรอย่างไม่ทั่วถึงและไม่เท่าเทียม ไม่ใช่ความเร็วในการต่อเชื่อมที่ไม่เพียงพอ
สำหรับคุณสมบัติของซอฟแวร์ที่พัฒนาขึ้นนี้ นอกจากจะช่วยลดต้นทุนในการนำเข้าอุปกรณ์ฮาร์ดแวร์จากต่างประเทศที่มีราคาแพง (เฉลี่ยประมาณหลักแสนบาท) ขณะที่ซอฟต์แวร์ที่พัฒนาขึ้นมีราคาถูกกว่า (เฉลี่ยประมาณหลักหมื่นบาท) แล้ว ยังมีคุณสมบัติการใช้งานมากกว่า อาทิ สามารถควบคุมการใช้บริการอินเทอร์เน็ตให้อยู่ในความเร็วที่คงที่สม่ำเสมอ มีระบบจัดรูปแบบการใช้งานอินเทอร์เน็ต คือ สามารถจัดรูปแบบการบริการอินเทอร์เน็ตให้กับผู้ที่ต้องการใช้ความเร็วที่สูงกว่าห้องอื่นๆ ได้ โดยไม่ไปรบกวนความเร็วการใช้อินเทอร์เน็ตของคนอื่น นอกจากนี้ ยังมีระบบการคิดราคา ระบบการออกรายงาน และระบบการตรวจสอบ หรือ Network Monitor Bandwidth ซึ่งคุณสมบัติเหล่านี้เป็นสิ่งที่ฮาร์ดแวร์ไม่มี


3.ให้นักเรียนค้าหาข้อมูล ความรู้เกี่ยวกับลิขสิทธิ์ซอฟต์แวร์ที่ได้บังคับใช้ในปัจจุบัน
ตอบ
การละเมิดลิขสิทธิ์ซอฟต์แวร์ หมายถึงการกระทำที่เกี่ยวข้องกับการคัดลอกซอฟต์แวร์คอมพิวเตอร์โดยไม่ได้รับอนุญาต โดยมีหลายประเทศที่มีกฎหมายลิขสิทธิ์ที่มีกฎหมายบังคับ แต่ระดับการบังคับแตกต่างกันไป ระบบคอมพิวเตอร์ที่เก่าแก่ที่สุดในทุกวันนี้มีอายุราว 40 ปี ในด้านลิขสิทธิ์แล้วจะไม่หมดลิขสิทธิ์ไปจนราวปี ค.ศ. 2030 ในสหรัฐอเมริกาและยุโรป


ประเภทของการละเมิดลิขสิทธิ์ซอฟต์แวร์
1. การทำสำเนาโดยผู้ใช้งาน (Enduser Copy) คือ การทำสำเนาโดยผู้ใช้งาน การทำสำเนาแจกจ่ายระหว่างผู้ใช้งานแม้ว่าจะเป็นการทำสำเนาจากซอฟต์แวร์ต้นฉบับของแท้ ก็จัดว่าเป็นการละเมิดประเภทหนึ่ง เนื่องจากมีการติดตั้งซอฟต์แวร์ หรือการใช้งานซอฟต์แวร์มากกว่าจำนวนที่ได้รับสิทธิ การกระทำเช่นนี้มิเพียงแต่เสี่ยงต่อการถูกดำเนินคดีทางกฎหมายเท่านั้น หากแต่ยังเสี่ยงต่อการแพร่ระบาดของไวรัส และความเสียหายของข้อมูล ฯลฯ ซึ่งอาจสร้างความเสียหายอันประเมินค่ามิได้ต่อธุรกิจของท่าน

2. การติดตั้งซอฟต์แวร์ลงในฮาร์ดดิสก์ (Harddisk Loading) เช่น ทำหน้าที่เป็นผู้ติดตั้งซอฟต์แวร์ให้ โดยแนะนำให้ลูกค้าซื้อซอฟต์แวร์ละเมิดลิขสิทธิ์ โดยตนเองจะให้บริการติดตั้งเท่านั้น หรือ แนะนำให้ลูกค้ารับเครื่องเปล่าไปก่อน และส่งเจ้าหน้าที่ไปติดตั้งที่บ้านหรือที่ทำงานของลูกค้าภายหลัง


3. การปลอมแปลงสินค้า (Counterfeiting)ผู้จำหน่ายซอฟต์แวร์บางรายถึงกับผลิต CD และคู่มือปลอมจำหน่าย โดยจัดทำบรรจุภัณฑ์เหมือนกับสินค้าจริงทุกประการ เพื่อเป็นการหลอกลวงให้ผู้ซื้อเข้าใจว่าได้สินค้าของแท้

4. การละเมิดลิขสิทธิ์ Online (Internet Piracy) ลักษณะที่เกิดขึ้นมากในปัจจุบันคือการ Download ซอฟต์แวร์ผ่าน Internet โดยไม่ได้รับอนุญาตจากเจ้าของลิขสิทธิ์ ซอฟต์แวร์เหล่านี้ไม่ใช่ Shareware

5.การขายหรือใช้ลิขสิทธิ์ผิดประเภท ในบางกรณีผู้ค้าซอฟต์แวร์จำหน่ายซอฟต์แวร์ผิดประเภทให้กับลูกค้า ทำให้ผู้ซื้อตกอยู่ในความเสี่ยงทางกฎหมายโดยรู้เท่าไม่ถึงการณ์

การละเมิดลิขสิทธิ์ซอฟต์แวร์ในไทย
ไทยยังละเมิดลิขสิทธิ์ซอฟแวร์ผอ.ฝ่ายปราบปรามการละเมิดลิขสิทธิ์ประจำภูมิภาคเอเชีย ระบุประเทศไทยอยู่ในอันดับ 4 ของประเทศในภูมิภาคเอเชีย ที่ละเมิดลิขสิทธิ์ซอฟต์แวร์ ด้าน ผบก.ปศท. ประกาศเอาตำแหน่งเป็นเดิมพัน หาก 3 เดือน กวาดล้างการละเมิดลิขสิทธิ์ซอฟต์แวร์ไม่ได้ผล[10]
พล.ต.ต.วิสุทธิ์ วานิชบุตร ผู้บังคับการปราบปรามอาชญากรรมทางเศรษฐกิจและเทคโนโลยี (ปศท.) แถลงข่าวร่วมกับกลุ่มพันธมิตรซอฟต์แวร์ โดยนายดรุณ ซอร์นีย์ ผู้อำนวยการฝ่ายปราบปรามการละเมิดลิขสิทธิ์ประจำภูมิภาคเอเชีย กล่าวว่า ประเทศไทยมีการละเมิดลิขสิทธิ์ซอฟต์แวร์สูงถึงร้อยละ 80 และเป็นอันดับ 4 ในภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิก โดยอันดับ 1 คือ เวียดนาม ตามด้วยอินโดนีเซีย และจีน นายอรุณ กล่าวด้วยว่า ในเครื่องคอมพิวเตอร์คนไทย 1 เครื่อง จะมีชิ้นส่วนหรืออุปกรณ์ซอฟต์แวร์ละเมิดลิขสิทธิ์ถึงร้อยละ 80 และมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น ขณะที่อีก 3 ประเทศ กลับพบแนวโน้มที่ลดลง[11]

หน่วยการเรียนรู้ที่ 7 เรื่องการจัดการข้อมูล

1. จำแนกประเภทของหน่วยข้อมูลได้
ตอบ หน่วยข้อมูลประกอบไปด้วยหน่วยที่เล็กที่สุดไปยังหน่วยที่ใหญ่ที่สุด ตามลำดับต่อไป
1. บิต ( Bit ) คือ หน่วยข้อมูลที่เล็กที่สุด เป็นเลขฐานสองมีค่าเป็น 0 และ 1

2. อักขระ ( Character ) คือ ตัวอักษร ตัวเลข สัญลักษณ์ต่างๆ แต่ละตัวจะ
เท่ากับ 1 อักขระ เช่น com#12%34 ประกอบด้วย ตัวอักษร 3 ตัว ตัวเลข
4 ตัว และ สัญลักษณ์ 2 ตัว ทั้งหมดมีค่าเท่ากับ 9 อักขระ และ1 อักขระ
มีค่าเท่ากับ 1 ไบต์

3. ไบต์ ( Byte ) คือ กลุ่มของบิต จะมีขนาด 8 บิต เท่ากับหนึ่ง 1 ไบต์
ใช้แทนอักขระหนึ่งตัว
เช่น A มีรหัสแทนข้อมูล คือ 01000001 มีค่าเท่ากับ 1ไบต์
1 มีค่ารหัสแทนข้อมูล คือ 00110001 มีค่าเท่ากับ 1 ไบต์
การจัดเก็บข้อมูลในหน่วยเก็บข้อมูลสำรองจะมีหน่วยความจุเป็น
ไบต์ ที่สูงขึ้นเป็นกิโลไบต์ (Kilobyte: KB) เมกะไบต์ (Megabyte: MB)
หรือ กิกกะไบต์ (Gigabyte: GB) เป็นต้น

4. ฟิลด์ (Fied) คือ เขตข้อมูล เกิดจากการนำอักขระที่มีความเกี่ยว
ข้องกันมาไว้รวมกัน เพื่อให้เกิดความหมาย เช่น การจัดเก็บข้อมูล นักศึกษาจะประกอบด้วยฟิลด์ของรหัสประจำตัว ชื่อ นามสกุล ระดับชั้น แผนกวิชา คณะวิชา เป็นต้น

5. เรกคอร์ด (Record) คือ จะประกอบด้วย ฟิลด์หลายๆฟิลด์ที่เกี่ยวข้องกันเป็นข้อมูลแต่ละแถว หรือ แต่ละชุด

6. ไฟล์ (File) ไฟล์ หรือ แฟ้มข้อมูลจะประกอบไปด้วย เรกคอร์ด ตั้งแต่หนึ่งเรกคอร์ดขึ้นไป ซึ่งอยูภายในตารางเดียวกัน เช่น ไฟล์ข้อมูลนักศึกษา ไฟล์ข้อมูลบุคลากร เป็นต้น

7. ฐานข้อมูล (Database) คือ เกิดจากการรวบรวมเอาแฟ้มข้อมูลหลายๆ แฟ้มที่มีความสัมพันธ์กันนำมารวมไว้ด้วยกัน


2. อธิบายประเภทของแฟ้มข้อมูลได้
ตอบ ประเภทของแฟ้มข้อมูลมีหลายประเภท แบ่งตามรูปแบบของการจัดเก็บข้อมูลประเภทต่างๆประกอบด้วยประเภทแฟ้มข้อมูลพื้นฐาน ดังนี้
1. แฟ้มข้อมูลหลัก (Master File) คือ แฟ้มข้อมูลที่จัดเก็บข้อมูลที่มีการเปลี่ยนแปลงน้อย หรือไม่มีการเปลี่ยนแปลง เช่น แฟ้มข้อมูลบุคลากร แฟ้มข้อมูลราษฎร์ แฟ้มข้อมูลสินค้า แฟ้มข้อมูลยอดขายสินค้า เป็นต้น

2. แฟ้มข้อมูลรายการเปลี่ยนแปลง (Transaction File) คือ แฟ้มข้อมูลที่มีการจัดเก็บข้อมูลตามช่วงเวลาที่กำหนดและเป็นแฟ้มข้อมูลที่มีการเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา เพื่อทำให้ข้อมูลต่างๆเหล่านั้นมีความถูกต้อง และเป็นปัจจุบัน เช่น แฟ้มข้อมูลการขายสินค้า
แฟ้มข้อมูลการฝาก-การถอนของธนาคาร เป็นต้น แฟ้มข้อมูลอาจเก็บรวบรวมข้อมูลทุกเวลาที่ทำการประมวลผล บางแฟ้มข้อมูลอาจจะรวบรวมข้อมูลทุกวัน หรือทุกสัปดาห์ หรือ ทุกๆเดือนก็ได้ เมื่อประมวลผลข้อมูลแล้ว จำนำข้อมูลต่างๆเหล่านั้นไปปรังปรุงแฟ้มข้อมูลหลักอีกครั้งหนึ่ง

3. แฟ้มรายงาน (Report File) คือ แฟ้มข้อมูลที่ใช้สำหรับเก็บข้อมูล ประเภทรายงาน ที่จัดเก็บไว้ในรูปแบบของไฟล์เอกสาร การจัดเก็บข้อมูลประเภทรายงานนั้นสามารถเรียกดูผ่านทางจอภาพได้ โดยไม่จำเป็นที่จะแสดงผลออกทางเครื่องพิมพ์แต่เพียงอย่างเดียว นอกจากนี้แฟ้มรายงานที่จัดเก็บไว้ไปประยุกต์ใช้กับงานอื่น หรือไฟล์ประเภทอื่นได้อีก เช่น สามารถนำข้อมูลนักศึกษา ในแต่ละแผนกวิชา ที่เก็บไว้ในแฟ้มข้อมูลนักศึกษา จากโปรแกรม Microsoft Access มาเป็นข้อมูลที่แสดงในรูปของกราฟเพื่อการนำเสนอและจัดเก็บไว้ในรูปของรายงานจากโปรแกรม Microsoft Access ได้

4. แฟ้มข้อมูลชั่วคราว (Temporary File) คือ แฟ้มข้อมูลที่ถูกสร้างขึ้นมาเพื่อใช้ในการทำงานที่จะไม่ทำให้เกิดผลกระทบต่อข้อมูลแฟ้มข้อมูลหลัก แต่เมื่อใดก็ตามที่ต้องการนำข้อมูลจากแฟ้มข้อมูลชั่วคราวไปปรับปรุงในแฟ้มข้อมูลหลัก สามารถทำได้โดยยืนยันการเปลี่ยนแปลงของข้อมูล แฟ้มข้อมูลชั่วคราวจะถูกยกเลิก ทำให้ไม่มีผลกระทบต่อแฟ้มข้อมูลหลักแต่อย่างใด เช่น เปิดแฟ้มข้อมูลสินค้าเป็นแฟ้มข้อมูลหลักขึ้นมา ได้ทำการแก้ไขราคาสินค้าบางประเภทโดยสร้างแฟ้มข้อมูลชั่วคราวเพื่อใช้ในการจัดการข้อมูลที่ต้องการแก้ไข ถ้าแก้ไขข้อมูลเรียบร้อยแล้ว แต่ไม่มีการยืนยันที่จะจัดเก็บข้อมูลที่ทำการแก้ไขแล้วนั้น ข้อมูลที่อยู่ในแฟ้มข้อมูลชั่วคราวก็จะถูกทำลายไปโดยไม่มีผลกระทบต่อแฟ้มข้อมูลหลัก

5. แฟ้มข้อมูลสำรอง (Backup File) คือ การทำซ้ำข้อมูลไฟล์ หรือโปรแกรมในสื่อเก็บข้อมูลชนิดอื่นๆเพื่อนำกลับมาใช้ได้อีก การจัดเก็บแฟ้มข้อมูลที่มีความสำคัญ ผู้ใช้มักจะจัดเก็บแฟ้มข้อมูลดังกล่าวในรูปแบบของแฟ้มข้อมูลสำรอง เป็นการป้องกันความเสี่ยงที่จะเกิดขึ้นกับข้อมูล เมื่อข้อมูลเหล่านั้นเสียหายหรือสูญหาย สามรถนำข้อมูลที่เก็บไว้เป็นข้อมูลสำรองมาใช้แทนได้ เช่น เจ้าหน้าที่วานทะเบียนได้จัดเก็บแฟ้มข้อมูลนักศึกษาไว้ในหน่วยเก็บข้อมูลสำรองภายในเครื่องคอมพิวเตอร์ คือ ฮาร์ดดิสก์ และเจ้าหน้าที่ก็ได้จัดเก็บแฟ้มข้อมูลนักศึกษาไว้เป็นแฟ้มข้อมูลสำรองในสื่อเก็บข้อมูลสำรองชนิดอื่นๆ เช่น แผ่นซีดี ฮาร์ดดิสก์ สำหรับพกพา ต่อมาเครื่องคอมพิวเตอร์ที่ใช้เก็บแฟ้มข้อมูลนักศึกษานั้นเสีย เนื่องจากไวรัสคอมพิวเตอร์ ทำให้ต้องทำการฟอร์แมตฮาร์ดดิสก์ใหม่ ดังนั้นข้อมูลในฮาร์ดดิสก์ของเครื่องคอมพิวเตอร์จะถูกลบทิ้งทั้งหมด แต่เจ้าหน้าที่งานทะเบียนสามารถนำแฟ้มข้อมูลนักศึกษาที่เก็บไว้เป็นแฟ้มข้อมูลสำรองมาใช้แทนได้จึงไม่ทำให้การทำงานหยุดชะงักเนื่องจากสูญเสียข้อมูล และไม่ต้องเสียเวลาในการบันทึกข้อมูลของนักศึกษาใหม่อีกครั้ง

3. อธิบายลักษณะการประมวลผลข้อมูลได้
ตอบ ลักษณะการประมวลผลข้อมูล สามารถแบ่งออกเป็น 2 ประเภท คือ การประมวลผลแบบกลุ่ม และการประมวลผลแบบทันที การเลือกลักษณะการประมวลผลข้อมูลแบบใดนั้นจะขึ้นอยู่กับความต้องการของสารสนเทศในงานแต่ละประเภท
1. การประมวลผลแบบกลุ่ม (Batch Processing)
การประมวลผลแบบกลุ่ม เป็นวิธีการประมวลผลซึ่งจะกำหนดช่วงเวลาในการเก็บรวบรวมข้อมูล เช่น 1 สัปดาห์ 1 เดือน หรือ 1 ปี เป็นต้น เมื่อได้รวบรวมข้อมูลตามกำหนดเวลาแล้วจึงนำข้อมูลเหล่านี้ไปประมวลผลรวมกัน โดยจะไม่คำนึงถึงปริมาณของข้อมูล เช่น การคำนวณภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา จะต้องรวบรวมข้อมูลของรายได้แต่ละบุคคลในระยะเวลา 1 ปี ก่อนจึงนำข้อมูลนี้ไปคำนวณหาอัตราภาษีที่ต้องชำระ การคำนวณหารายได้สุทธิของบุคลากรภายในองค์กรจะทำการประมวลทุกๆเดือน เป็นต้น

2. การประมวลผลแบบทันที (Real-time Processing)
การประมวลผลแบบทันที เป็นวิธีการประมวลผลข้อมูลที่ต้องการหาผลลัพธ์ในทันทีและเมื่อมีการจัดทำรายการเข้ามาภายในระบบ วิธีการประมวลผลแบบทันทีนี้ จะช่วยปรับปรุงข้อมูลในระบบให้เป็นปัจจุบันตลอดเวลา จะเห็นได้ชัดเจนจากระบบการฝากและถอนเงินของลูกค้าใน ธนาคาร เมื่อนำเงินเข้าไปฝากยอดในบัญชีธนาคารต้องมียอดเงินเพิ่มขึ้น ตาม จำนวนเงินที่ฝากเพิ่มทันที และเมื่อใดที่ลูกค้าทำการถอนเงิน ก็จะต้องแสดงยอดเงินคงเหลือที่ลดลงจากบัญชีธนาคาร เช่นกัน และเมื่อสิ้นสุดการทำงานในแต่ละวันพนักงานธนาคารจะต้องทำการตรวจสอบยอดเงินรับ และยอดเงินจ่ายให้ตรงกับรายการที่มีลูกค้าเข้ามาใช้บริการทั้งหมด จะเป็นลักษณะของการประมวลผลแบบกลุ่มอีกครั้งหนึ่ง

ในปัจจุบันได้นำระบบคอมพิวเตอร์เข้ามาช่วยในการประมวลผล ในระบบงานขายสินค้าสำหรับห้างสรรพสินค้าหรือร้านค้าทั่วไปอย่างแพร่หลาย ในระบบงานขายสินค้าพนักงานขายมีหน้าที่ประมวลผลรายการซื้อสินค้าให้แก่ราคาสินค้า และเมื่อขายสินค้าชนิดใดก็ตาม ข้อมูลการขายสินค้าก็จะนำไปลดจำนวนของสินค้าที่อยู่ภายในระบบสินค้าคงคลัง เป็นลักษณะการประมวลผลแบบทันที และเมื่อสิ้นสุดการขายในแต่ละวันจะนำข้อมูลการขายสินค้าไปจัดทำเป็นข้อมูลรายรับหรือจัดทำรายงานการขายสินค้าในแต่ละวัน และสามารถนำข้อมูลไปประมวลผลเป็นรายได้แต่ละเดือนได้อีกด้วย จะเป็นลักษณะของการประมวลผลแบบกลุ่ม


4. จำแนกความแตกต่างของโครงสร้างข้อมูลแต่ละประเภทได้
ตอบ โดยทั่วไปการจัดเก็บแฟ้มข้อมูลจะถูกจัดเก็บไว้ภายในหน่วยเก็บข้อมูลสำรอง เช่น ฮาร์ดดิสก์ ฟลอปปีดิสก์ เป็นต้น เนื่องจากหน่วยเก็บข้อมูล สามารถเก็บแฟ้มข้อมูลต่างๆ เหล่านั้นไว้ได้อย่างถาวร เพราะข้อมูลยังคงอยู่ถึงแม้ว่าจะปิดเครื่องไปแล้วก็ตาม และเมื่อต้องการใช้งานสามารถเรียกมาใช้งานได้ทันที การจัดโครงสร้างแฟ้มข้อมูลมีจุดประสงค์เพื่อนำไปใช้สำหรับการจัดเก็บข้อมูลและการเข้าถึงข้อมูลได้อย่างถูกต้อง รวดเร็ว และเหมาะสม กับปริมาณข้อมูลหรือสื่อที่ใช้ในการเก็บข้อมูล โดยอาศัยคีย์ฟิลด์เป็นหลักในการเข้าถึงข้อมูล การจัดโครงสร้างแฟ้มข้อมูลแบ่งออกได้เป็น 3 ลักษณะ คือ

1. โครงสร้างแฟ้มข้อมูลแบบเรียงลำดับ เป็นรูปแบบโครงสร้างพื้นฐานที่สามารถใช้งานง่ายที่สุด เป็นการบันทึกข้อมูลจะถูกบันทึกแบบเรียงลำดับอย่างต่อเนื่อง

2. โครงสร้างแฟ้มข้อมูลแบบสุ่ม เป็นรูปแบบโครงสร้างที่สามารถเข้าถึงข้อมูลได้โดยตรง เมื่อต้องการค้นหาข้อมูลเรกคอร์ดใดก็ตาม สามารถกระโดดไปยังตำแหน่งของข้อมูลเรกคอร์ดนั้นได้ทันทีโดยไม่ต้องเสียเวลาที่ต้องเริ่มอ่านข้อมูลตั้งแต่ตำแหน่งแรก โครงสร้างนี้จะสามารถเข้าถึงข้อมูลได้รวดเร็วกว่าโครงสร้างแฟ้มข้อมูลแบบเรียงลำดับ

3. โครงสร้างแฟ้มข้อมูลแบบลำดับดรรชนี เป็นโครงสร้างแฟ้มข้อมูลที่รวมเอาความสามารถของโครงสร้างแฟ้มข้อมูลแบบเรียงลำดับ กับโครงสร้างแบบแบบสุ่มเข้าไว้ด้วยกัน


5. จำแนกความแตกต่างระหว่างการประมวลผลแบบแฟ้มข้อมูลกับระบบฐานข้อมูลได้
ตอบ การประมวลผลแบบแฟ้มข้อมูล มีลักษณะการจัดเก็บข้อมูลแบบกระจายในแต่ละหน่วยงานที่นำคอมพิวเตอร์มาช่วยสำหรับประมวลผลการทำงานด้านต่างๆ ก่อให้เกิดแฟ้มข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับงานและแต่ละฝ่ายงานอย่างหลากหลายแฟ้มข้อมูล

ระบบฐานข้อมูล เป็นการจัดเก็บข้อมูลแบบศูนย์กลางเพื่อแก้ปัญหาที่เกิดขึ้นสำหรับการประมวลผลแบบแฟ้มข้อมูล

กิจกรรมส่งเสริมการเรียนรู้ หน่วยที่ 6

1. ในระบบปฏิบัติการ Windows 7 มีระบบ License ทั้งในแบบ FPP License และ OEM License ซึ่งทั้ง 2 แบบนี้มีความแตกต่างกันอย่างไร ให้นักเรียนนำเสนอข้อมูลความแตกต่างระหว่าง License ทั้งสองรูปแบบนี้ และถ้านักเรียนซื้อเครื่องคอมพิวเตอร์สำหรับการใช้งานภายในบ้านนักเรียนจะต้องใช้รูปแบบของ License แบบใด

ตอบ
FPP License หรือ Full Package Product License จะมาในรูปแบบของกล่องซึ่งเหมาะ สำหรับผู้ใช้ซอฟต์แวร์ส่วนบุคคล ใช้ตามบ้านทั่วๆ ไป หรือนิสิตนักศึกษาเป็นหลัก โดยอาจจะต้องมีความรู้ในการติดตั้งเองสักหน่อย เช่นต้องหาแผ่น driver ต่างๆ ของเครื่องเราเอง แต่ก็มีความคล่องตัวในการย้ายเครื่องได้มากกว่า

OEM License หรือ Original Equipment Manufacturer จะเหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการซื้อเครื่องใหม่ องค์กร หรือห้างร้านที่ไม่ต้องการยุ่งยากกับการใช้ซอฟต์แวร์ที่ไม่ต้องการยุ่งยากใน การติดตั้งและหา driver ต่างๆ โดยจะติดตั้งมาให้พร้อมใช้งานทันที

ถ้าซื้อเครื่องคอมพิวเตอร์สำหรับการใช้งานภายในบ้านจะต้องใช้รูปแบบ FPP License

หน่วยการเรียนรู้ที่ 6 ระบบปฏิบัติการ

1. บอกความหมายและหน้าที่ของระบบปฏิบัติการได้
ตอบ ระบบปฏิบัติการ คือ โปรแกรมที่ทำหน้าที่เป็นสื่อกลางในการประสานงาน
ระหว่างการทำงานของซอร์ฟแวร์ต่างๆ และอุปกรณ์คอมพิวเตอร์ โดยมีวัตถุประ
สงค์เพื่อให้ผู้ใช้สามารถปฏิบัติงานบนเครื่องคอมพิวเตอร์ได้
หน้าที่หลักของระบบปฏิบัติการ ประกอบด้วย 3 หน้าที่หลัก ได้แก่ การติดต่อกับผู้ใช้ การควบคุมอุปกรณ์และการทำงานต่างๆของระบบคอมพิวเตอร์ และการจัด
สรรทรัพยากรภายในระบบ
การติดต่อกับผู้ใช้ (User Interface)
การบูตเครื่อง เป็นกระบวนการทำงานแรก เพื่อสั่งให้เครื่องคอมพิวเตอร์เริ่มต้นการทำงานเป็นขั้นตอนการโหลดโปรแกรมระบบปฏิบัติการไปเก็บไว้ในหน่วยความจำแรม ดังนั้นโปรแกรม หรือชุดคำสั่งแรกที่จะถูกติดตั้งลงไปในฮาร์ดดิสก์ของเครื่องคอมพิวเตอร์ คือ โปรแกรมระบบปฏิบัติการ มิเช่นนั้นเครื่องคอมพิวเตอร์จะไม่สามารถที่จะเปิดขึ้นาใช้งานได้ การบูตเครื่องประกอบด้วย 2 สถานะ
1.1 Cold Boot คือ การเปิดเครื่องคอมพิวเตอร์มาใช้งานในขณะที่เครื่องคอมพิวเตอร์นั้นยังปิดอยู่ เป็นการเปิดคอมพิวเตอร์เพื่อเริ่มต้นใช้งาน
1.2 Warm Boot คือ การเปิดเครื่องคอมพิวเตอร์มาใช้งานในขณะที่เครื่องคอมพิวเตอร์นั้นเปิดใช้งานอยู่แล้ว
การควบคุมอุปกรณ์และการทำงานต่างๆของระบบคอมพิวเตอร์
เครื่องคอมพิวเตอร์จะมีอุปกรณ์เชื่อมต่ออีกหลายชนิดที่จะนำมาใช้ร่วมกัน เช่น เมาส์ คีย์บอร์ด เครื่องพิมพ์ เครื่องสแกนเนอร์ จอภาพ เป็นต้น อุปกรณ์เหล่านี้จะมีความแตกต่างกันดังนั้นระบบปฏิบัติการมีหน้าที่ควบคุมการทำงานของโปรแกรม และอุปกรณ์ต่างๆช่วยจัดการให้ผู้ใช้สามารถใช้งานอุปกรณ์เหล่านี้ได้ โดยผู้ใช้ส่งคำสั่งการทำงานไปยังอุปกรณ์ต่างๆผ่านทางโปรแกรมที่ทำงานติดต่อระหว่างระบบปฏิบัติการกับโปรแกรมของผู้ใช้
การจัดสรรทรัพยากรภายในระบบ
ระบบปฏิบัติการช่วยจัดสรรพยากรของระบบซึ่งมีอยู่อย่างจำกัดให้สามารถทำงานหลายๆงานได้ ทรัพยากรหลักๆได้แก่ ทรัพยากรด้านโพรเซสเซอร์ (CPU) ด้านหน่วยความจำ (Memory) ด้านอุปกรณ์นำเข้า/แสดงผล(Input/Output Devices) และข้อมูล (Data)


2. จำแนกประเภทของระบบปฏิบัติการได้
ตอบ ระบบปฏิบัติการ แบ่งออกเป็น 3ประเภท คือ
2.1 ระบบปฏิบัติการแบบเดี่ยว (Stand-alone Operating System)
ระบบปฏิบัติการแบบเดี่ยว เป็นระบบปฏิบัติการที่ใช้กับเครื่องคอมพิวเตอร์ที่ให้บริการ
แก่ผู้ใช้เพียงคนเดียว เช่น การใช้เครื่องคอมพิวเตอร์ภายในบ้าน หรือคอมพิวเตอร์ภายในสำนักงาน ในการการพิมพ์เอกสาร การดูหนัง ฟังเพลง หรือการนำไปเชื่อมต่อระบบอินเตอร์เน็ต เป็นต้น ระบบปฏิบัติการที่นิยมใช้ เช่น DOS(Disk Operating System)Windows Vista XP,Windows Vista เป็นต้น
2.2 ระบบปฏิบัติการแบบเครือข่าย (Network Operating System)
ระบบปฏิบัติการแบบเครือข่าย เป็นระบบปฏิบัติการที่รองรับการทำงานของระบบเครือข่ายคอมพิวเตอร์ มีรูปแบบการทำงานแบบ Multi-user ใช้สำหรับการปฏิบัติงานภายในองค์กร หรือ หน่วยงานทั่วๆไปโดยการติดตั้งระบบปฏิบัติการชนิดนี้จะใช้สำหรับระบบเครือข่ายแบบไคลเอนท์เซิร์ฟเวอร์ (Client/server) ติดตั้งระบบปฏิบัติการไว้ที่เครื่องเซิร์ฟเวอร์ (Server) เพื่อทำหน้าที่เป็นผู้ให้บริการข้อมูลส่งข้อมูลไปยังผู้ใช้แต่ละคนภายในระบบ ระบบปฏิบัติการที่นิยมใช้ เช่น Unix Linux Windows Server Solaris เป็นต้น

2.3 ระบบปฏิบัติการแบบฝัง (Embeded Operating System)
ระบบการปฏิบัติการแบบฝัง เป็นระบบปฏิบัติการที่ใช้ในคอมพิวเตอร์ ชนิดพกพาทั่วๆไป เช่น Palm , Pocket PC เป็นต้น อุปกรณ์คอมพิวเตอร์พกพาปัจจุบันเป็นที่นิยมอย่างแพร่หลาย เนื่องจากสามารถนำมาใช้เป็นอุปกรณ์สื่อสาร บันทึกข้อมูล ดูหนัง ฟังเพลง และเชื่อมต่ออินเตอร์เน็ตได้อีกด้วย ระบบปฏิบัติการที่นิยมใช้ เช่น Pocket PC Palm OS , Symbian OS เป็นต้น

3. อธิบายองค์ประกอบของระบบปฏิบัติการได้
ตอบ ภายในระบบปฏิบัติการมีองค์ประกอบที่สำคัญได้แก่ การจัดไฟล์ การจัดการหน่วยความจำ การจัดการอุปกรณ์นำเข้าแสดงผลข้อมูล การจัดการกับหน่วยประมวลผลกลาง และการจัดการความปลอดภัยของระบบ เป็นต้น
3.1 การจัดการไฟล์ (File Managemrent )
การจัดเก็บข้อมูลลงในสื่อบันทึกข้อมูลชนิดต่างๆ เช่น ฟลอบปีดิสก์ ฮาร์ดดิสก์ หน่วยความจำแฟลช เป็นต้น การจัดเก็บข้อมูลใดๆ จะต้องระบุชื่อไฟล์ (File Name) และส่วนขยาย (Extensions) เพื่อความสะดวกในการเรียกใช้ข้อมูล เป็นการแบ่งแยกชนิดของไฟล์ข้อมูล



ชื่อไฟล์ (File Name) ในยุคแรกๆนั้นจะใช้ระบบปฏิบัติการประเภทคอม
มานด์ไลน์ เช่น ระบบปฏิบัติการ DOS การตั้งชื่อไฟล์จะสามารถตั้งได้ไม่เกิน
8 อักขระและตัวอักษรที่ใช้ในการตั้งชื่อจะใช้เฉพาะตัวอักษรภาษาอังกฤษเท่านั้น
แต่ในปัจจุบันสามารถตั้งชื่อไฟล์มากถึง 256 อักขระ สามรถใช้ได้ทั้งภาษาอังกฤษ
และภาษไทย นิยมตั้งชื่อโดยไม่ให้มีช่องว่าง แต่จะใช้สัญลักษณ์ต่างๆเป็นเครื่องหมายระหว่างคำได้ เช่น stden-comfile#computer555 เป็นต้น
ส่วนขยาย (Extensions) เป็นส่วนที่ช่วยให้ระบบปฏิบัติการทราบได้ว่าเป็นไฟล์
ชนิดใดต้องใช้โปรแกรมใดในการเปิดอ่านข้อมูลเหล่านั้น ส่วนขยายจะประกอบด้วย
ตัวอักษรไม่เกิน 4 ตัวอยู่หลังชื่อไฟล์ โดยมีจุด (.) คั่นระหว่างชื่อไฟล์กับส่วนขยาย
เรียกส่วนขยายว่าเป็นนามสกุลของไฟล์
ภายในระบบปฏิบัติการช่วยให้สามารถจัดเก็บข้อมูลออกเป็นส่วนๆ เป็นกลุ่ม
หรือหมวดหมู่เดียวกันได้ ทำให้การเก็บข้อมูลบนพื้นที่ในหน่วยความจำของคอม
พิวเตอร์มีระเบียบมากขึ้น ที่เรียกว่า “โฟลเดอร์” (Folder) ช่วยให้ผู้สามารถค้นหา
และเรียกใช้ได้อย่างสะดวกโดยมีโครงสร้างเหมือนกับต้นไม้ที่มีกิ่งก้านแผ่ขยายออก
ไปออกจากลำต้น

3.2 การจัดการหน่วยความจำ (Memory Management)
การประมวลผลข้อมูลในระบบคอมพิวเตอร์จะต้องอ่านข้อมูลเหล่านั้น ไปไว้ยังหน่วยความจำหลักประเภทแรก ก่อนที่จะทำการประมวลผลข้อมูล
เมื่อมีข้อมูลปริมาณมากหรือมีการทำงานหลายๆ โปรแกรมพร้อมกัน ทำให้พื้นที่ของหน่วยความจำแรมไม่เพียงพอสำหรับการประมวลผลข้อมูล ระบบปฏิบัติการจึงสร้างหน่วยความจำเสมือน (VM-Virtual Memory) โดยใช้เนื้อหาที่จากหน่วยเก็บข้อมูลสำรอง ไดแก่ ฮาร์ดิสก์ มีพื้นที่สำหรับจัดเก็บข้อมูลได้มากกว่าหน่วยความจำ โดยทำการจัดเก็บข้อมูลของโปรแกรมที่ทำงานอยู่ไว้บนไฟล์ ในฮาร์ดดิสก์ เรียกว่า “ สว็อปไฟล์ “ (Swap file) และแบ่งเนื้อที่ของไฟล์ออกเป็นส่วนๆ เรียกว่า “เพจ “ (Page) จากนั้นระบบปฏิบัติการจะเลือกโหลดเฉพาะข้อมูลในเพจที่กำลังใช้งานเข้าสู่หน่วยความจำแรมจนกว่าจะเต็ม เมื่อต้องการใช้พื้นที่ของหน่วยความจำแรมอีกก็จะนำข้อมูลบางเพจที่ยังไม่ใช้งานกลับไปเก็บไว้ที่หน่วยเก็บข้อมูลสำรองก่อน เพื่อทำให้พื้นที่ในหน่วยความจำแรมมีพื้นที่ว่างสำหรับการรับข้อมูลจากเพจใหม่ที่ต้องการใช้งานในขณะนั้นเข้ามาแทนที่ จึงทำให้สามารถจะทำการประมวลผลต่อไปได้ วิธีการนี้เป็นการจัดสรรพื้นที่ในหน่วยความจำมาใช้งานอย่างมีประสิทธิภาพ


3.3 การจัดการอุปกรณ์นำเข้าและแสดงผลข้อมูล (I/O Device Management)
การทำงานของระบบคอมพิวเตอร์ สามารถส่งข้อมูลเข้าสู่ระบบการประมวลผล
จากอุปกรณ์ได้หลายชนิด ในบางครั้งได้ทำการส่งข้อมูลไปประมวลผลเพื่อให้แสดง
ผลลัพธ์ออกมาหลายๆคำสั่ง ในเวลาเดียวกัน หรือในช่วงเวลาที่ใกล้เคียงกัน ดังนั้นระบบปฏิบัติการจะเตรียมพื้นที่ไว้เป็นหน่วยความจำชั่วคราว ที่เรียกว่า “ บัฟเฟอร์”
(Buffer) เพื่อเป็นที่พักข้อมูลเมื่อทำการอ่านข้อมูลเข้ามาแล้ว และรอส่งข้อมูลออกไป
ทางอุปกรณ์แสดงผลข้อมูลต่อไป เช่น การให้ทำการพิมพ์เอกสารออกทางเครื่องพิมพ์
จะสังเกตเห็นว่าเมื่อส่งคำสั่งให้เครื่องพิมพ์ข้อมูลในแถบสถานะอยู่ด้านล่างของจอภาพจะปรากฏรูปเครื่องพิมพ์ที่กำลังพิมพ์ข้อมูลออกมา เป็นการอ่านข้อมูลที่จะพิมพ์ตามคำสั่ง
ก่อนแล้วเครื่องจึงจะเริ่มทำการพิมพ์ข้อมูลในแต่ละหน้าและหน้าต่อไปในขณะที่คำสั่งให้
ทำการพิมพ์เอกสารไปยังเครื่องพิมพ์นั้น ระบบปฏิบัติการจะอ่านข้อมูลทั้งหมดไปเก็บไว้ที่บัฟเฟอร์ก่อน แล้วจึงจะเริ่มพิมพ์เอกสารทางเครื่องพิมพ์ วิธีนี้เรียกว่า “ การทำ Spooling ”
นอกจากนี้ เมื่อสั่งพิมพ์เอกสารหลายๆไฟล์ ระบบจะทำการอ่านข้อมูลเก็บไว้ในคิวแล้ว
เพื่อจัดส่งข้อมูลไปยังเครื่องพิมพ์ตามลำดับต่อไป เมื่อข้อมูลถูกอ่านไปเก็บไว้ในคิวแล้ว
ผู้ใช้สามารถสั่งยกเลิกการพิมพ์เอกสารเหล่านั้นได้
3.4 การจัดการกับหน่วยประมวลผลกลาง (CPU Management)
ระบบคอมพิวเตอร์สามารถทำงานหลายๆงานได้พร้อมกันได้ที่ เรียกว่า “Multi-Tasking” แต่ในความเป็นจริงแล้ว คอมพิวเตอร์สามารถทำงานได้ครั้งละคำสั่งเท่านั้น ดังนั้นระบบปฏิบัติการจึงต้องจัดแบ่งเวลาของซีพียู เพื่อประมวลผลต่างๆ เหล่านั้น โดยทำงานสลับไปมาระหว่างงานแต่ละงานได้ แต่เนื่องจากซีพียูสามารถที่จะประมวลผลได้เร็ว จึงทำให้ผู้ใช้เสมือนว่าซีพียูสามารถทำงานหลายๆงานได้พร้อมกัน การแบ่งเวลาในการประมวลผลข้อมูลจาก ซีพียู ออกเป็นส่วนๆเพื่อให้กับผู้แต่ละคน จะเรียกว่า “Time-Sharing”
3.5 การจัดการความปลอดภัยของระบบ(Protection System)
ภายในระบบปฏิบัติการมีการรักษาความปลอดภัยให้กับข้อมูลและเครื่อง คอมพิวเตอร์ได้ในระดับหนึ่ง โดยการกำหนดขั้นตอนการ log on เพื่อตรวจสอบสิทธิของผู้เข้าไปใช้งานภายในเครื่องคอมพิวเตอร์ โดยการใช้รหัสผ่าน (Password) เมื่อมีผู้ขอ log on เข้าไปในระบบ ผู้ใช้จะต้องพิมพ์รหัสผ่านเพื่อให้ระบบปฏิบัติการนำไปตรวจสอบกับรหัสผ่านที่ได้ทำการบันทึกไว้กับระบบถ้าถูกต้องระบบก็จะอนุญาตให้บุคคลคนนั้นเข้าไปใช้งานได้

4. บอกระบบปฏิบัติการที่ได้รับความนิยมนำมาใช้ งานในปัจจุบันได้
ตอบ 1. ดอส ( DOS : Disk Operating System )
ดอส ( DOS ) เป็นระบบปฏิบัติการที่ได้รับการพัฒนาขึ้นมาประมาณ ค.ศ.1980
เพื่อจะนำมาใช้กับเครื่องคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคลเป็นระบบปฏิบัติการที่ได้รับความนิยมและ
รู้จักกันดีสำหรับผู้ใช้เครื่องคอมพิวเตอร์ในอดีต การทำงานจะใช้วิธีการพิมพ์ชุดคำสั่งแบบคอมพิวเตอร์มานดน์ไลน์ (Command) การใช้คำสั่งให้คอมพิวเตอร์ทำงานตางจุดประสงค์ของผู้ใช้นั้นจะต้องป้อนข้อมูลลงไปทีละบรรทัด การผลิตระบบปฏิบัติการ Dos ขึ้นมาครั้งแรก เรียกว่า PC-DOS มีวัตถุประสงค์เพื่อนำไปใช้งานกับเครื่องคอมพิวเตอร์ของบริษัทไอบีเอ็ม ต่อมาบริษัทไมโครซอฟต์ได้ผลิตระบบปฏิบัติการ DOS ขึ้นมาเพื่อใช้กับคอมพิวเตอร์ทั่วๆไป
2. วินโดวส์ ( Windows )
เป็นระบบปฏิบัติการที่ได้ถูกพัฒนาต่อมาจาก DOS เนื่องจากการใช้งานบนระบบปฏิบัติการ DOS ผู้ใช้จำเป็นจดจำรูปแบบคำสั่งในการใช้งาน สร้างความยุ่งยาก
ให้แก่ผู้ใช้งานที่ไม่ชำนาญ บริษัทไมโครซอฟต์ได้นำรูปแบบกราฟฟิกมาใช้เป็นหลัก
การในการสร้างเมนูคำสั่งหรือปุ่มคำสั่งการทำงานต่างๆ เข้าใช้แทนการป้อนคำสั่งที่
ละบรรทัด

3. ยูนิกซ์ ( Unix )
เป็นระบบการปฏิบัติการที่ถูกพัฒนาขึ้นมานับตั้งแต่การนำไปใช้กับเครื่องมินิคอมพิวเตอร์ซึ่งเป็นระบบปฏิบัติการที่เหมาะสมสำหรับผู้ที่มีความรู้ ความชำนาญด้านคอมพิวเตอร์เป็นอย่างดีและระบบปฏิบัติการ Unix เป็นระบบปฏิบัติการที่เป็นเทคโนโลยีแบบเปิด ( Open System) เป็นแนวคิดที่ผู้ใช้ไม่จำเป็นต้องยึดติดกับระบบใดระบบหนึ่ง หรือการใช้อุปกรณ์ที่มียี่ห้อเดียว
กัน
4. ลินุกซ์ ( Linux )
เป็นระบบปฏิบัติการ Unix ตระกลูหนึ่งที่ได้รับการพัฒนาเพื่อเป็น ระบบปฏิบัติการที่สามารถปฏิบัติงานบนเครื่องคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคลได้ เป็นระบบปฏิบัติการที่ได้รับความนิยมมาเนื่องจากเป็นซอฟต์แวร์แจกฟรี
5. แมคอินทอช (Macintosh)
เป็นระบบปฏิบัติการสำหรับเครื่องไมโครคอมพิวเตอร์ แมคอินทอช
เป็นเครื่องไมโครคอมพิวเตอร์ที่นำมาใช้กับงานเฉพาะด้าน ได้แก่ งานด้านกราฟฟิก การออแบบ และสิ่งพิมพ์ จึงพบว่านิยมใช้ในสำนักพิมพ์ โรงพิมพ์ต่างๆ ระบบปฏิบัติการนี้จะสนับสนุนการใช้งานแบบกราฟฟิก (GUI) เช่น เดียวกับระบบปฏิบัติการ Windows

วันพุธที่ 15 กันยายน พ.ศ. 2553

หน่วยการเรีบยนรู้ที่ 5 ซอฟต์แวร์

กิจกรรมฝึกทักษะที่ควรเพิ่มให้นักเรียน
1.บอกความหมายและประเภทของซอฟต์แวร์
ตอบ
ซอฟต์แวร์( Software ) คือ โปรแกรมหรือชุดคำสั่งที่สั่งให้คอมพิวเตอร์ทำงานเพื่อให้ได้ผลลัพธ์ตามที่ต้องการ สามารถแบ่งออกเป็น 2 ประเภทคือ
1.ซอฟต์แวร์ระบบ ( System Software )
คือ โปรแกรมหรือชุดคำสั่งที่ทำหน้าที่ควบคุมการปฏิบัติงานของคอมพิวเตอร์ฮาร์ดแวร์ ตลอดจนควบคุมด้านการสื่อสารข้อมูลในระบบเครือข่ายคอมพิวเตอร์
2.ซอฟต์แวร์ประยุกต์ (Application Software)
คือ โปรแกรมคอมพิวเตอร์ที่ถูกพัฒนาขึ้นมาเพื่อให้ระบบคอมพิวเตอร์ทำงานด้านต่างๆตามจุดประสงค์ของผู้ใช้ การพัฒนาโปรแกรมสำหรับนำไปใช้ในการทำงาน


2.อธิบายภาษาคอมพิวเตอร์
ตอบ
ภาษาคอมพิวเตอร์ได้ถูกพัฒนาหลายยุคหลายสมัย เพื่ออำนวยความสะดวกในการเขียนโปรแกรมจัดแบ่งภาษาคอมพิวเตอร์ออกเป็น 5 ยุค ตั้งแต่ยุคที่ 1-5 โดยภาษาในยุคที่ 1 จะจัดอยู่ในกลุ่มภาษาระดับต่ำมีความใกล้เคียงกับภาษาเครื่อง ทำให้สื่อสารกับคอมพิวเตอร์โดยตรง ในยุคที่ 5 รูปแบบภาษามีความใกล้เคียงกับภาษามนุษย์มากขึ้นหรือที่เรียกว่า “ภาษาธรรมชาติ”

3.อธิบายรูปแบบของตัวแปลภาษา
ตอบ
รูปแบบของตัวแปลภาษาสามารถแบ่งได้เป็น 3 ประเภท ดังนี้ คือ
1.แอสแซมเบลอร์(Assemblers)
แอสแซมเบลอร์(Assemblers) เป็นตัวแปลภาษาที่ทำหน้าที่แปลความหมายของสัญลักษณ์เขียนขึ้นด้วยโปรแกรมภาษาแอสแซมบลี(Assembly Language) ทำหน้าที่เป็นตัวกลางในการแปลความหมายของสัญลักษณ์เหล่านั้นให้เป็นเลขฐานสองที่เครื่องคอมพิวเตอร์เข้าใจได้ ภาษาแอสแซมบลีนี้ยังจัดอยู่ในกลุ่มของภาษาระดับต่ำ
(Low-level Language )

2.อินเตอร์พรีเตอร์(Interpreters)
อินเตอร์พรีเตอร์(Interpreters) ทำหน้าที่แปลความหมายของชุดคำสั่ง เขียนขึ้นด้วยโปรแกรมภาษาระดับสูง (High-level Language) โดยวิธีการแปลความหมายในรูปแบบของอินเตอร์พรีเตอร์ คือ การอ่านคำสั่งและแปลความหมายทีละบรรทัดคำสั่ง เมื่อพบข้อผิดพลาดจะแจ้งข้อผิดพลาดให้ผู้เขียนทราบและแก้ไขได้ทันที แต่เมื่อประมวลผลชุดคำสั่งเหล่านั้นแล้ว จะไม่สามารถเก็บไว้ใช้ได้อีก ถ้าต้องการที่จะเรียกใช้ในครั้งต่อไปต้องประมวลผลชุดคำสั่งนี้ใหม่ ทำให้การทำงานของโปรแกรมค่อนข้างช้า จึงเหมาะกับการเขียนโปรแกรมที่มีขนาดเล็ก

3.คอมไพเลอร์(Compilers)
คอมไพเลอร์(Compilers) ทำหน้าที่แปลความหมายของชุดคำสั่ง เขียนขึ้นด้วยโปรแกรมภาษาระดับสูง (High-level Language) เช่นเดียวกับอินเตอร์พรีเตอร์ แต่มีความแตกต่างกันสำหรับวิธีการแปลความหมาย เนื่องจากคอมไพเลอร์ จะออ่านชุดคำสั่งทั้งหมดและแปลความหมายของชุดคำสั่งทั้งหมดในครั้งเดียว เมื่อแปลความหมายของชุดคำสั่งทั้งหมดแล้วจะได้เป็น Object Code หรือ สัญลักษณ์ของรหัสคำสั่ง ที่สามารถเก็บไว้ได้เมื่อต้องการใช้งานในครั้งต่อไปโดยไม่ต้องเสียเวลาในการแปลชุดคำสั่งนั้นอีก จึงเหมาะกับการเขียนโปรแกรมที่มีขนาดใหญ่

วันพุธที่ 1 กันยายน พ.ศ. 2553

การเปรียบเทียบลักษณะตัวเรากับต้นมะละกอ

ลำต้น เปรียบเสมือน ขาของคนเรา
กิ่ง/ก้าน เปรียบเสมือน แขนของคนเรา


เปรียบเทียบการปรุงอาหาร
ต้นมะละกอ ปรุงอาหารโดยใช้แสงจากดวงอาทิตย์สังเคราะห์คลอโรฟิวล์
คน ปรุงอาหารโดยการใช้ก๊าซหุงต้ม ถ่านไฟ


เปรียบเทียบการหายใจ
ตันมะละกอ หายใจเอาคาร์บอนไดออกไซด์เข้า แล้วคายออกซิเจนออก
คน หายใจเอาออกซิเจนเข้า แล้วหายใจเอาคาร์บอนไดออกไซด์

เปรียบเทียบการรับแสงจากดวงอาทิตย์
ต้นมะละกอ สามารถรับแสงจากดวงอาทิตย์ในปริมาณมากได้
คน สามารถรับแสงจากดวงอาทิตย์ได้แต่ในปริมาณที่พอเหมาะ และแสงแดดไม่แรงจนเกินไปเพราะจะทำให้เป็นโรคมะเร็งผิวหนัง

ตัวอย่างพรรณไม้ดอง



การดองแบบเต็มผล
1.ทำความสะอาดพรรณไม้ที่เราจะดอง
2.ผสมเอทิวแอลกอฮอล์กับน้ำโดยมีอัตราส่วน 70:30
3.นำพรรณไม้ใส่ลงในโหลแก้ว
4.นำเอทิวแอลกอฮอล์ที่ผสมกับน้ำแล้วเทลงไปใส่ในพรรณไม้
5.ปิดฝาโหลแก้ว
















คุณค่าทางอาหารของมะละกอ

คุณค่าทางอาหารของมะละกอ

มะละกอ สามารถนำไปประกอบอาหารต่างๆ ได้อย่างวิเศษมากมายหลายอย่าง
มะละกอดิบ ถ้าใช้ทำเป็นอาหารยอดนิยม คงหนีไม่พ้นส้มตำ
มะละกอดิบ หั่นเป็นแว่นๆ พอคำ นำไปแกงส้มใส่ปลาช่อนใส่กุ้ง
มะละกอสุก นำมาปลอกเปลือกแล้วล้างให้สะอาดหั่นเป็นชิ้นเล็กๆ นำไปปั่น ผสมน้ำตาล และเกลือป่น ตามอัตราส่วนที่เหมาะสม และเหมาะสำหรับคลายร้อนได้เป็นอย่างดี และมีคุณค่าทางโภชนาการอาหารอย่างมากมาย

มะละกอมีเกลือแร่ และวิตามินมาก มีคุณค่าทางอาหารไม่น้อย แคลเซียมในมะละกอช่วยป้องกันฟันผุ วิตามินซีช่วยป้องกันเลือดออกตามไรฟัน วิตามินเอช่วยในบำรุงสายตาและระบบประสาท และยังมีสารอาหารอื่นๆ อีกมาก

สรรพคุณทางยาของมะละกอ


สรรพคุณทางยาของมะละกอ

นำผลดิบและผลสุกมาต้มกินเป็นยา ขับน้ำดี น้ำเหลือง บำรุงน้ำนม ขับพยาธิ รักษาโรคริดสีดวงทวาร ผลสุกเป็นยาแก้ท้องผูกที่วิเศษสุดๆ ถ่ายคล่องเป็นยาระบายได้อย่างดีเยี่ยม นำเนื้อสุกมาปั่น แล้วพอกหน้าทิ้งไว้ 5-10 นาที แล้วล้างออกใบหน้าจะชุ่มชื้นขึ้น

รากและก้านใบ ขับปัสสาวะ ยางขาวจากผลดิบมีเอ็นไซม์ย่อยโปรตีน ได้แก่ papain และ chymopapain ใช้ย่อยเนื้อสัตว์ให้เปื่อย นำมาใช้ในอุตสาหกรรมอาหารกระป๋องในอุตสาหกรรมยาใช้เอ็นไซม์ผลิตเป็นยาเม็ด ลดอาการบวม การอักเสบจากบาดแผลหรือการผ่าตัด


วันพุธที่ 25 สิงหาคม พ.ศ. 2553

การปลูกมะละกอ

1. การเตรียมเมล็ดพันธุ์
- ต้นมะละกอมี 3 เพศคือ ต้นตัวเมียผลจะกลมป้อม, ต้นกะเทยผลจะยาว และต้นตัวผู้มีแต่ดอกเป็นสายยาวไม่มีผล การเลือกพันธุ์ให้คัดเอาแต่เมล็ดจากต้นกะเทยที่ให้ผลผลิตดี ลักษณะดี คัดเอาผลที่เริ่มสุก แก้มแดง แล้วบ่มให้สุกโดยการห่อกระดาษหนังสือพิมพ์จึงผ่าเอาเมล็ดมาล้างเมือกหุ้มเมล็ดออก ตากแห้งเก็บไว้ใช้ทำพันธุ์ ข้อมูลจากเกษตรกรชาวสวนบอกว่าเมล็ดจากช่วงกลางผลจะเป็นกะเทยมากที่สุด

2. การเพาะกล้า
- การเพาะกล้า ให้แช่เมล็ดแห้งในน้ำ 2 คืน แล้วนำไปเพาะในถุงเพาะกล้า หรือแปลงเพาะ
- ดินปลูก ใช้ดินร่วนหรือดินเหนียว(ดินทาม หรือ ดินริมแม่น้ำ หรือดินจอมปลวก) 3 ส่วน ปุ๋ยคอกเก่าหรือขี้ไก่ 1 ส่วน และแกลบเผา 3 ส่วน ใช้ถุงขนาด 4 × 6 นิ้ว
- เพาะเมล็ดที่แช่น้ำแล้ว ลงในถุงๆละ 3-4 เมล็ด 7 วันจะเริ่มงอก เมื่ออายุ 30 วันให้ถอนเหลือ 1 ต้น อายุ 60 วันนำไปปลูกได้ดีที่สุด ควรเพาะกล้าที่ร่มพลางแสง 50-70% รดน้ำสม่ำเสมอ อย่าให้แฉะเกินไป

3. การปลูก
- ระยะปลูก 2.50 × 2.50 ม. 1 ไร่ใช้กล้าประมาณ 256 ต้น หรือ 3.0x3.0 ม. หรือ 2.0X4.0ม.
- ขุดหลุมปลูก ไม่ต้องลึกมากเพาะมะละกอรากตื้น (ประมาณ 50 ซม.) รองก้นหลุม ด้วยปุ๋ยคอก 1 ปุ้งกี๋ ปุ๋ยสูตร 15-15-15 1 ช้อนแกง มะละกอจะชอบขี้ไก่ หรือปุ๋ยคอกเก่า
- ให้ปุ๋ย 15-15-15 เดือนละครั้งๆละ ประมาณ 1-2 ช้อนแกง ร่วมกับปุ๋ยคอกตามสมควร หรือปุ๋ยหมักชีวภาพ 4-5 กำมือ เริ่มออกดอก เมื่อครบอายุ 3 เดือนใช้ ปุ๋ยตัวท้ายสูง เช่น 13-13-21 เดือนละครั้งเพื่อเพิ่มการติดผลและเพิ่มความหวาน การใส่ปุ๋ยเคมีอย่าใส่ใกล้ต้น ใส่เมื่อดินมีความชื้นหรือรดน้ำตาม
- อายุ 6-8 เดือน เก็บผลผลิตได้ขึ้นกับการดูแลรักษา การให้น้ำที่สม่ำเสมอ อายุการเก็บผลผลิต ถึง 2 ปี จึงปลูกใหม่ ควรปลูกในพื้นที่ใหม่ ไม่ซ้ำที่เดิมเพื่อลดปัญหาโรคและแมลง
- การให้น้ำควรให้น้ำแบบพ่นฝอย(สปริงเกลอร์) วันละ 1 ชม.
- การคลุมดินด้วยฟางจะช่วยรักษาความชื้นและป้องกันวัชพืชได้เป็นอย่างดี
- การใช้ปุ๋ยเคมีร่วมกับปุ๋ยคอกจะให้ผลดีที่สุด ใส่ปุ๋ยแล้วต้อรดน้ำเสมอ

4. การเก็บเกี่ยว
เก็บผลดิบควรแยกขนาด แล้วบรรจุถุงพลาสติกใสเบอร์ 18 หากผลสุกให้เก็บเมื่อแก้มผลเป็นสีส้มเล็กน้อยแล้วห่อด้วยกระดาษหนังสือพิมพ์ ระวังผิวต้องสวย คัดขนาดส่งจำหน่ายต่อไป

5. การผลิตมะละกออินทรีย์
ให้ใช้ปุ๋ยคอกโดยเฉพาะขี้วัว ขี้ควาย ห้ามใช้ขี้ไก่ฟาร์มเพราะมียาปฏิชีวนะตกค้างมาก(ขี้ไก่บ้านใช้ได้) หรือใช้ปุ๋ยชีวภาพ(ไร่ละ 200-300 กก.) น้ำหมักชีวภาพ หรือ อีเอ็ม (ฉีดพ่นทุกๆ 10 วัน)โดยใช้ปุ๋ยคอกประมาณไร่ละ 1-2 ตัน การเร่งความหวานให้ใช้มูลค้างคาวต้นละ 1-2 กำมือเริ่มให้ในระยะออกดอก และให้เดือนละครั้ง การคลุมแปลงปลูกด้วยฟางจะมีความสำคัญมากในการปลูกแบบอินทรีย์

ลักษณะนิสัย

ไม้ต้นขนาดเล็ก ความสูงประมาณ 6 เมตร ความกว้างทรงพุ่ม 1 เมตร

รูปร่างทรงพุ่ม รูปไข่

ลำต้น เป็นลำต้นเหนือดิน ตั้งตรงได้เอง ผิวลำต้นหยาบ ต้นอ่อนสีเขียว ต้นแก่สีขาวนวล
มีน้ำยาง ยางขุ่นสีขาว

ใบ เป็นใบเดี่ยว ใบอ่อนสีเขียวอ่อน ใบแก่สีเขียวแก่ ขนาดแผ่นใบกว้างประมาณ
25 เซนติเมตร ยาวประมาณ 37 เซนติเมตร ใบเรียงแบบวงรอบ รูปร่างของใบเป็นแฉก ปลายใบแหลม
โคนใบรูปเงี่ยงใบหอก ขอบใบเป็นแฉก

ผล เป็นผลสด มีเนื้อหลายเมล็ด ผลอ่อนสีเขียวอ่อน
ผลแก่สีเขียวปนเหลือง ผลรูปรี มีน้ำยางขุ่นสีขาว

เมล็ด ภายในผลมีเมล็ดหลายเมล็ด

บูรณาการงานสวนพฤกษศาสตร์โรงเรียนห้วยแถลงพิทยาคม

มะละกอ

7-30240-001-028/1


ชื่อพื้นเมือง มะละกอ
ก้วยลา (ยะลา)
แตงต้น (สตูล)
มะก้วยเทศ (ภาคเหนือ)
มะเต๊ะ (มลายู ปัตตานี)
มะละกอ (ภาคกลาง)
ลอกอ (ภาคใต้)
สะกุยเส่ (กะเหรี่ยง แม่ฮ่องสอน)
หมักหุ่ง (เลย นครพนม)
หมากซางพอ (เงี้ยว แม่ฮ่องสอน)


ชื่อวิทยาศาสตร์ Carica papaya L.

ชื่อวงศ์ CARICACEAE

ชื่อสามัญ Papaya , Pawpaw , Tree melon

ประโยชน์ ผลดิบใช้ทำส้มตำ
ผลสุกรับประทานจะช่วยให้ย่อยอาหารได้ดี





















































































































































































































































































































































































































































































วันพุธที่ 18 สิงหาคม พ.ศ. 2553

ไมโครโฟน

ไมโครโฟน คือ อุปกรณ์รับเสียงแล้วแปลงเป็นสัญญาณไฟฟ้า เพื่อประมวลผลในเครื่องขยายเสียงหรืออุปกรณ์ผสมเสียงอื่น ๆ ไมโครโฟนประกอบด้วยขดลวดและแม่เหล็กเป็นหลัก เมื่อเสียงกระทบตัวรับในไมโครโฟน จะทำให้ขดลวดสั่นสะเทือนตัดกับสนามแม่เหล็ก จึงทำให้เกิดสัญญาณไฟฟ้า ซึ่งเป็นหลักการทำงานตรงข้ามกับลำโพง โดยทั่วไปไมโครโฟนใช้รับเสียงพูดหรือเสียงร้องเพลง



เอ็มไอซีอาร์ (Magnetic Ink Character Recognition system)

เอ็มไอซีอาร์ (Magnetic Ink Character Recognition system) ปัจจุบันมีจำนวนผู้นิยมใช้เช็คมากขึ้น จึงมีผู้คิดวิธีการตรวจสอบเช็คให้รวดเร็วมีประสิทธิภาพ และเชื่อถือได้ โดยได้ประดิษฐ์เครื่อง MIRC ขึ้นใช้ในธนาคารสำหรับตรวจสอบเช็ค โดยเครื่องจะทำการเข้ารหัสธนาคาร รหัสสาขา เลขที่บัญชี และเลขที่เช็ค ไว้ในเช็คทุกใบ จากนั้นจึงส่งเช็คนั้นให้ลูกค้า ตัวเลขที่เข้ารหัสไว้จะเรียกว่า ตัวเลข MIRC ในเช็คทุกใบจะมีเลข สีดำชัดเจนที่ด้านล่างซ้ายของเช็คเสมอ และหลังจากที่เช็คนั้นกลับมาสู่ธนาคารอีกครั้งหนึ่ง ก็จะทำการตรวจสอบจากตัวเลข MIRC ว่าเป็นเช็คของลูกค้าคนนั้นจริงหรือไม่ เครื่อง MIRC ไม่เป็นที่นิยมใช้กับงานประเภทอื่น เพราะชุดของตัวอักษรที่เก็บได้มีสัญลักษณ์ 14 ตัว



โอเอ็มอาร์ (Optical Mark Reader-OMR)

โอเอ็มอาร์ (Optical Mark Reader-OMR) โอเอ็มอาร์ เป็นอุปกรณ์ที่ใช้หลักการอ่านสัญลักษณ์ หรือเครื่องหมายที่ระบายด้วยดินสอดำลงในตำแหน่งที่กำหนด ตัวอย่างเช่น ข้อสอบแบบเลือกคำตอบ เป็นต้น โดยดินสอดำที่ใช้นั้นต้องมี สารแม่เหล็ก (magnetic particle) จำนวนหนึ่ง เพื่อให้เครื่องโอเอ็มอาร์สามารถรับรู้ได้ ซึ่งปกติจะเป็นดินสอ 2B จากนั้น เครื่องโอเอ็มอาร์ก็จะอ่านข้อมูลตามเครื่องหมายที่มีการระบายด้วยดินสอ

สแกนเนอร์ scanner

สแกนเนอร์ ( scanner) เป็นเครื่องมือที่ใช้ในการเก็บภาพหรือรายละเอียดจากวัตถุ โดยทำการสแกน หรือ เก็บข้อมูล และจากนั้นจะถูกส่งจากเครื่องสแกนเนอร์เข้าไปสู่คอมพิวเตอร์ในลักษณะจุดใน พิกัด 3 มิติ ที่เรียกว่า พอยต์คลาวด์ เพื่อนำไปคำนวณผลต่อไป โดยเป็นอุปกรณ์ที่นิยมใช้งานในการถ่ายทำภาพยนตร์ และวีดีโอเกม

ดิจิไทเซอร์

ดิจิไทเซอร์

สไตลัส(stylus)

สไตลัส(stylus) เป็นอุปกรณ์ที่เป็นปากกาสำหรับการนำข้อมูลเข้าอีกชนิอหนึ่งโดยทั่วไปจะใช้กับคอมพิวเตอร์ขนาดเล็ก เช่น เครื่องพีดีเอ ปาล์มคอมพิวเตอร์ แท็บแล็ตพีซี เป็นต้น โดยจะสามารถให้เขียนเลือกเมนูการทำงานหรือวาดเส้นลงบนจอภาพได้โดยตรง

ปากกาแสง (Light Pen)


ปากกาแสง (Light Pen) เป็นอุปกรณ์รับข้อมูลอีกชนิดหนึ่งที่มีเซลล์แบบ photoelectric ซึ่งมึความไวต่อแสงทำงานคล้ายกับเมาส์ที่ใช้ในการติดต่อกับคอมพิวเตอร์มีรูป ร่างเหมือนปากกาและมีแสงอยู่ตอนปลาย มีสายที่สามารถเชื่อมต่อกับเครื่องคอมพิวเตอร์ได้โดยที่ปลายข้างหนึ่งของ ปากกาจะมีสายเชื่อมที่สามารถต่อเข้ากับคอมพิวเตอร์ การใช้งานทำได้โดยการแตะปากกาแสงไปบนจอภาพตามตำแหน่งที่ต้องการ นิยมใช้กับงานคอมพิวเตอร์ในการออกแบบ (Computer Aided Design หรือ CAD) การวาดภาพสำหรับงานกราฟิก รวมทั้งยังนิยมใช้เป็นอุปกรณ์ป้อนข้อมูลโดยการเขียนด้วยมือและจิ้มเลือกเมนู รายการที่ต้องการบนหน้าจอ เพื่อส่งผ่านข้อมูลการเลือกนั้นให้กับโปรแกรมที่อยู่ในหน่วยความจำ นอกจากนี้ยังมีการใช้ปากกาแสงกับเครื่องคอมพิวเตอร์ชนิดพกพาหรือปาล์มท็อปอ ย่างแพร่หลายด้วย เช่น PDA ข้อดีของปากกาแสง คือ สามารถจี้ไปบนจอภาพโดยตรงเพื่อบอกตำแหน่งที่ต้องการ

จอสัมผัส( Touch screen)

Touch Screen หรือจอสัมผัส เป็นรูปแบบหนึ่งของอุปกรณ์แสดงผลและนำเข้าข้อมูลที่ผสมร่วมกัน เพื่อลดขนาดพื้นที่การใช้งาน โดยโปรแกรมจะแสดงผลภาพกราฟิกที่กำหนดบนจอภาพ และผู้ใช้ยังสามารถใช้นิ้วมือสัมผัสบนจอภาพ เพื่อเลือกรายการต่างๆ ทั้งที่อยู่ในลักษณะของรูปภาพ หรือข้อความก็ได้ เพื่อสั่งงานผ่านการสัมผัสบนจอภาพได้ โดยอาศัยหลักการบังแสงอินฟราเร็ด หรือคลื่นอัลตาโซนิค
จอสัมผัสนิยมนำมาใช้ในลักษณะของงานที่ช่วยเหลือผู้ที่มีปัญหาการใช้อุปกรณ์นำเข้าแบบจับต้อง เช่น แป้นพิมพ์, เมาส์ และสร้างสื่อเพื่อการฝึกอบรมแบบ Interactive รวมทั้งนิยมใช้ในการทำสื่อนำเสนอกิจกรรมต่างๆ ที่เรียกว่า Information Kiosk

จอยสติก

จอยสติก เป็นอุปกรณ์นำำเข้าข้อมูล คำสั่ง ใช้การควบคุมการเคลื่อนของตัวชี้คล้ายกับเมาส์ แต่ต่างกันที่จอยสติกจะเพิ่มปุ่มเฉพาะอย่าง นิยมใช้ในการเล่นเกม

เมาส์(Mouse)


เมาส์ (mouse) คือ อุปกรณ์ที่ใช้ในการควบคุมตัวชี้บนจอคอมพิวเตอร์ mouse pointerเป็นอุปกรณ์สำคัญในการใช้งานคอมพิวเตอร์ชิ้นหนึ่ง ซึ่งปัจจุบันถูกออกแบบมาให้มีรูปร่าง ลักษณะ สีสรร ต่างๆกัน บางรุ่นมีไฟประดับให้สวยงาม เพื่อให้เมาะสมกับการใช้งานในแต่ละประเภทและความชื่นชอบของผู้ใช้ เช่นมีขนาดเล็ก มีส่วนโค้งและส่วนเว้าเข้ากับอุ้งมือของผู้ใช้ มีรูปร่างสีสรรแปลกตาไปจากรุ่นทั่วๆไป หรือเป็นรูปตัวการ์ตูน และล่าสุดได้มีการพัฒนา เมาส์อากาศ Air Mouse ซึ่งสามารถใช้งานเมาส์โดยถือขึ้นมาเอียงไปมาในอากาศโดยไม่จำเป็นต้องใช้แผ่นรอง ก็สามารถควบคุมตัวชี้ได้เช่นกัน
การทำงานของเมาส์ ภายในตัวเมาส์จะมีอุปกรณ์สำหรับตรวจจับตำแหน่งการเคลื่อนไหวของลูกกลิ้งยาง(ในรุ่นเก่า)หรืออุปกรณ์ตรวจจับการเปลี่ยนแปลงของแสง (ในเมาส์ที่ใช้แอลอีดีหรือเลเซอร์เป็นแหล่งกำเนิดแสง) โดยตัวตรวจจับจะส่งสัญญาณไปที่คอมพิวเตอร์เพื่อแสดงผลของตัวชี้บนหน้าจอคอมพิวเตอร์
การเชื่อมต่อเข้ากับคอมพิวเตอร์ การใช้งานเมาส์ร่วมกับเครื่องคอมพิวเตอร์นั้นจะต้องมีการต่อมันเข้ากับช่องต่อของคอมพิวเตอร์ ซึ่งในยุคแรกๆนั้นช่องสำหรับต่อเมาส์จะมีลักษณะเป็นหัวกลมใหญ่ภายในมีขาเป็นเข็มเรียกว่าแบบ DIN ต่อมามีการพัฒนาช่องต่อเป็นแบบหัวเข็มที่เล็กลงเรียกว่า PS2 แต่การเชื่อมต่อทั้งสองแบบนั้นไม่สามารถเชื่อมต่ออุปกรณ์ได้หลากหลาย จึงมีการพัฒนาช่องต่อแบบ USB ขึ้นมา และในเวลาใกล้ๆกันก็ได้มีการพัฒนาการเชื่อมต่อเมาส์แบบไร้สายขึ้นมาโดยใช้สัญญานวิทยาเป็นตัวเชื่อมต่อแทนสายเรียกว่า Wireless mouse

ส่วนประกอบคีย์บอร์ด

แป้นพิมพ์ของเครื่องคอมพิวเตอร์ มีลักษณะคล้ายแป้นพิมพ์ของเครื่องพิมพ์ดีด (Typewriter )ทั่วไปต่างกันเพียงมีแป้นกดที่ทำหน้าที่พิเศษเพิ่มขึ้นเท่านั้น แป้นกดของแป้นพิมพ์คอมพิวเตอร์ จำแนกได้เป็น 4 กลุ่ม คือ

1. แป้นพมพ์ปกติและแป้นควบคุม ( Typewriter & Control Keys )

2. แป้นเฉพาะตัวเลข (Numeric Keypad )

3. แป้นกำหนดการทำงานพิเศษ ( Function Keys )

4. แป้นแก้ไข ( Editing Keys 1 แป้นพิมพ์ปกติ และแป้นควบคุม ( Typewriter & Control Keys )
ใช้กำหนดตัวอักษร , ตัวเลข และสัญญลักษณ์ รวมทั้งการทำงานของโปรแกรม (Sofware )ที่ใช้งานขณะนั้น มีการวางตำแหน่งของแป้นกดตามมาตราฐาน เช่นเดียวกับแป้นบนเครื่องพิมพ์ทั่วไป2 แป้นเฉพาะตัวเลข ( Numeric Keypad )เป็นแป้นที่สร้างขึ้นเพื่อความสะดวกของผู้ใช้ เมื่อต้องป้อนตัวเลขบ่อยๆแป้นในกลุ่มนี้จะทำงานเมื่อกดแป้น Num Lock ให้หลอดไฟแสดงสภาวะการทำงานของ Numeric Lock สว่างขึ้นแล้วเท่านั้น3 แป้นกำหนดการทำงานพิเศษ ( Function Keys )เป็นแป้นที่กำหนดขึ้นเป็นพิเศษ เพื่ออำนวยความสะดวกแก่ผู้ใช้งานโปรแกรมต่างๆส่วนใหญ่มักมีแบบ การทำงานตามที่โปรแกรมกำหนดแป้นพิมพ์ที่มีแป้นกด 101 และ 84 แป้น ประกอบด้วยแป้น FuntionKeys 12และ10แป้น ตามลำดับ4 แป้นแก้ไข ( Editing Keys )เป็นกลุ่มแป้นใช้เลื่อน Cursor เพื่อตรวจสอบ และแก้ไขข้อมูลที่แสดงบนจอภาพ

คีย์บอร์ด


คียบอร์ด หรือ แป้นพิมพ์ (ศัพท์บัญญัติใช้ว่า แผงแป้นอักขระ) เป็นอุปกรณ์คอมพิวเตอร์ที่ทุกเครื่องจำเป็นต้องมี เป็นอุปกรณ์หลักที่ใช้ในการนำข้อมูลลงในเครื่องคอมพิวเตอร์ โดยปกติมักจะมีลักษณะเป็นสี่เหลี่ยมผืนผ้าหรือใกล้เคียง มีแป้นต่างๆ ประมาณร้อยแป้นอยู่บนคีย์บอร์ด (ขึ้นอยู่กับผังแป้นพิมพ์) ซึ่งถอดแบบมาจากเครื่องพิมพ์ดีด ออกแบบมาเพื่อใช้สำหรับรับข้อมูลที่เป็นตัวอักขระ แล้วทำการเปลี่ยนเป็นรหัส 7 หรือ 8 บิต จากนั้นจึงส่งให้คอมพิวเตอร์ประมวลผล หรือใช้ควบคุมฟังก์ชันการทำงานบางอย่างของคอมพิวเตอร์ และเพื่อให้การป้อนข้อมูลที่เป็นอักขระและตัวเลขทำได้ง่ายและสะดวกขึ้น คีย์บอร์ดจึงแยกแผงที่เป็นแป้นอักขระกับแป้นตัวเลขแยกไว้ต่างหาก

วันศุกร์ที่ 30 กรกฎาคม พ.ศ. 2553

อุปกรณ์นำเข้าข้อมูล

หน่วยนำข้อมูลเข้า Input Unit ทำหน้าที่รับข้อมูลและโปรแกรมเข้าสู่เครื่องคอมพิวเตอร์ ประกอบด้วยอุปกรณ์ต่างๆ ที่นำข้อมูลจากภายนอกเข้าสู่เครื่องคอมพิวเตอร์ จึงเรียกว่า "อุปกรณ์นำเข้าข้อมูล" Input Device อุปกรณ์นำเข้าข้อมูลที่นิยมใช้กันทั่วไปมีดังนี้
- แป้นพิมพ์ (Keyboard)
- เมาส์ (Mouse)
- แทร็กบอล
- Digitizing Tablet
- Touch Pad
- Joystick หรือ Game Control
- สแกนเนอร์ (Scanner)

วันพุธที่ 28 กรกฎาคม พ.ศ. 2553

องค์ประกอบของฮาร์ดแวร์


หน่วยประมวลผลกลาง Processor
หน่วยประมวลผลกลางหรือที่เรียกสั้น ๆ ว่า ซีพียู (CPU) เป็นหน่วยที่เปรียบเสมือนสมองของระบบคอมพิวเตอร์ และเป็นหน่วยที่มีความซับซ้อนที่สุด ส่วนประกอบต่าง ๆในหน่วยประมวลผลกลางเป็นตัวกำหนดความเร็วของเครื่องคอมพิวเตอร์ หน่วยประมวลผลกลางรุ่นใหม่ ๆ จะมีขนาดเล็กลงในขณะที่มีความเร้วเพิ่มขึ้น
หน่วยความจำหลัก Main Memory
เป็นอุปกรณ์ที่ใช้ในการจดจำข้อมูล และโปรแกรมต่าง ๆ ที่อยู่ระหว่างการประมวลผลของคอมพิวเตอร์ บางครั้งเรียกว่า หน่วยเก็บข้อมูลหลัก (Primary storage)
หน่วยรับข้อมูล
ทำหน้าที่รับข้อมูลจากผู้ใช้เข้าสู่หน่วยความจำหลัก ปัจจุบันมีสื่อต่าง ๆ ให้เลือกใช้มากมาย
หน่วยแสดงผล
ทำหน้าที่แสดงผลลัพธ์จากคอมพิวเตอร์
หน่วยเก็บข้อมูลสำรอง
ก่อนที่จะศึกษาว่าคอมพิวเตอร์เก็บข้อมูลได้อย่างไร จะต้องทราบก่อนว่าสื่อสำหรับเก็บข้อมูลนั้นมีอะไรบ้าง เนื่องจากคอมพิวเตอร์แปลงคำสั่งและข้อมูลต่าง ๆ เก็บไว้ในรูปของเลขฐานสองคือ 0 และ 1 ทั้งสิ้น โดยที่ตัวอักษร ตัวเลข และสัญลักษณ์พิเศษต่าง ๆ จะถูกแทนด้วยกลุ่มของเลขฐานสอง และเนื่องจากแรมเป็นหน่วยความจำที่ไม่ได้เก็บข้อมูลอย่างถาวร ถ้าปิดเครื่องหรือไฟดับข้อมูลก็จะหายไป ดังนั้นถ้าผู้ใช้มีข้อมูลอยู่ในแรมก็จะต้องทำการจัดเก็บข้อมูล โดยย้ายข้อมูลจากหน่วยความจำไปไว้ในหน่วยเก็บข้อมูลสำรอง เนื่องจากสามารถเก็บข้อมูลได้อย่างถาวรไม่มีการเปลี่ยนแปลงนอกจากผู้ใช้เป็นผู้สั่ง รวมทั้งสามารถเก็บข้อมูลจำนวนมาก ๆ ได้และที่สำคัญหน่วยเก็บข้อมูลสำรองจะมีราคาถูกมากเมื่อเทียบกับหน่วยความจำหลัก คอมพิวเตอร์ ที่นิยมใช้ในปัจจุบันจะมีหน่วยเก็บข้อมูลสำรองซึ่งสามารถเก็บข้อมูลได้จำนวนมาก ๆ ได้ แต่ความเร็วในการอ่านและบันทึกข้อมูลของหน่วยเก็บข้อมูลสำรองจะต่ำกว่าแรมมาก ดังนั้นจึงควรทำงานให้เสร็จก่อนจึงย้ายข้อมูลนั้นไปไว้ในหน่วยเก็บข้อมูลสำรอง

บทที่ 4 ฮาร์ดแวร์(Hardware)

ฮาร์ดแวร์ หมายถึง อุปกรณ์ต่างๆ ที่ประกอบขึ้นเป็นเครื่องคอมพิวเตอร์ มีลักษณะเป็นโครงร่างสามารถมองเห็นด้วยตาและสัมผัสได้ (รูปธรรม) เช่น จอภาพ คีย์บอร์ด เครื่องพิมพ์ เมาส์ เป็นต้น ซึ่งสามารถแบ่งออกเป็นส่วนต่างๆ ตามลักษณะการทำงาน ได้ 4 หน่วย คือ หน่วยรับข้อมูล (Input Unit) หน่วยประมวลผลกลาง (Central Processing Unit : CPU) หน่วยแสดงผล (Output Unit) หน่วยเก็บข้อมูลสำรอง (Secondary Storage) โดยอุปกรณ์แต่ละหน่วยมีหน้าที่การทำงานแตกต่างกัน

วันอังคารที่ 13 กรกฎาคม พ.ศ. 2553

การนำเทคโนโลยีคอมพิวเตอร์มาประยุกต์ใช้ในงานด้านต่างๆ

การประยุกต์ใช้เทคโนโลยีสารสนเทศในสาขาการศึกษา
การเรียนรู้แบบออนไลน์ (E-learning)
เป็นการเรียนรู้ด้วยตัวเองผ่านเครือข่ายคอมพิวเตอร์อินเทอร์เน็ต (Internet) หรืออินทราเน็ต (Intranet) ผู้เรียนจะได้เรียนตามความสามารถและความสนใจของตน โดยเนื้อหาของบทเรียนจะถูกส่งไปยังผู้เรียนผ่านเว็บเบราว์เซอร์(Web Browser) โดยผู้เรียน ผู้สอน และเพื่อนร่วมชั้นเรียนทุกคน สามารถติดต่อ ปรึกษา แลกเปลี่ยนความคิดเห็นระหว่างกันได้เช่นเดียวกับการเรียนในชั้นเรียนปกติ โดยอาศัยเครื่องมือการติดต่อสื่อสารที่ทันสมัยสำหรับทุกคนที่สามารถเรียนรู้ได้ทุกเวลา และทุกสถานที่ (Learn for all : anyone, anywhere and anytime) ซึ่งการให้บริการการเรียนแบบออนไลน์ มีองค์ประกอบที่สำคัญ 4 ส่วน แต่ละส่วนได้รับการออกแบบเป็นอย่างดี เมื่อนำมาประกอบเข้าด้วยกัน แล้วระบบทั้งหมดจะต้องทำงานประสานกันได้อย่างลงตัว ดังนี้
1) เนื้อหาของบทเรียน ประกอบด้วย ข้อความ รูปภาพ เสียง วิดีโอและมัลติมีเดียอื่นๆ
2) ระบบบริหารการเรียน ทำหน้าที่เป็นศูนย์กลาง กำหนดลำดับของเนื้อหาในบทเรียน เราเรียกระบบนี้ว่า ระบบบริหารการเรียน (E-Learning Management System : LMS) ดังนั้น ระบบบริหารการเรียนจึงเป็นส่วนที่เอื้ออำนวยให้ผู้เรียนได้ศึกษาเรียนรู้ได้ด้วยตนเองจนจบหลักสูตร
3) การติดต่อสื่อสาร นำรูปแบบการติดต่อสื่อสารแบบ 2 ทาง มาใช้ประกอบในการเรียน โดยเครื่องมือที่ใช้ในการติดต่อสื่อสารอาจแบ่งได้เป็น 2 ประเภทคือ ประเภท Real-time ได้แก่ Chat (message, voice), White board/Text slide, Real-time Annotations, Interactive poll, Conferencing และอื่นๆ ส่วนอีกแบบคือ ประเภท Non real-time ได้แก่ Web-board, E-mail
บทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอน (Computer Assisted Instruction - CAI)
บทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอนจะเสนอสารสนเทศที่ได้ผ่านกระบวนการสร้าง และพิจารณามาเป็นอย่างดี โดยมีเนื้อหาวิชาหรือสารสนเทศ แบบฝึกหัด การทดสอบ และการให้ข้อมูลป้อนกลับให้ผู้เรียนได้ตอบสนองต่อบทเรียนได้ตามระดับความสามารถของตนเอง เนื้อหาวิชาที่นำเสนอจะอยู่ในรูปมัลติมีเดีย ซึ่งประกอบด้วย อักษร รูปภาพ เสียง และหรือ ทั้งภาพและเสียง โดยมีจุดมุ่งหมายนำผู้เรียนไปสู่การเรียนรู้อย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งอาศัยการสอนที่มีการวางโปรแกรมไว้ล่วงหน้า เป็นการให้ผู้เรียนมีโอกาสเรียนรู้ได้ด้วยตนเอง และมีผลย้อนกลับทันทีและเรียนรู้ไปทีละขั้นตอนอย่างเหมาะสม ตามความต้องการและความสามารถของตน
วีดิทัศน์ตามอัธยาศัย (Video on Demand - VOD)
การจัดการฐานข้อมูลต้องอาศัยโปรแกรมที่ทำหน้าที่ ในการกำหนดลักษณะข้อมูลที่จะเก็บไว้ในฐานข้อมูล อำนวยความสะดวกในการบันทึกข้อมูลลงในฐานข้อมูล กำหนดผู้ที่ได้รับอนุญาตให้ใช้ฐานข้อมูลได้ พร้อมกับกำหนดด้วยว่าให้ใช้ได้แบบใด เช่น ให้อ่านข้อมูลได้อย่างเดียวหรือให้แก้ไขข้อมูลได้ด้วย นอกจากนั้นยังอำนวยความสะดวกในการค้นหาข้อมูล การแก้ไขปรับปรุงข้อมูล ตลอดจนการจัดทำข้อมูลสำรองด้วย โดยอาศัยโปรแกรมที่เรียกว่า ระบบการจัดการฐานข้อมูล(Database Management System: DBMS) ซึ่งโปรแกรมที่ได้รับความนิยมในการจัดการฐานข้อมูล ได้แก่ Microsoft Access, Oracle, Informix, dBase, FoxPro, และ Paradox เป็นต้น
หนังสืออิเล็กทรอนิกส์ (E-books )
หนังสืออิเล็กทรอนิกส์ที่สามารถอ่านได้ทางอินเทอร์เน็ต สำหรับเครื่องมือที่จำเป็นต้องมีในการอ่านหนังสือประเภทนี้ก็คือ ฮาร์ดแวร์ประเภทเครื่องคอมพิวเตอร์หรืออุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์พกพาอื่นๆ พร้อมทั้งติดตั้งระบบปฏิบัติการหรือซอฟต์แวร์ที่ใช้อ่านข้อความต่างๆ ตัวอย่างเช่น ออแกไนเซอร์แบบพกพา พีดีเอ เป็นต้น ส่วนการดึงข้อมูล E-books ซึ่งจะอยู่บนเว็บไซต์ที่ให้บริการทางด้านนี้มาอ่าน ก็จะใช้วิธีการดาวน์โหลดผ่านทางอินเทอร์เน็ตเป็นส่วนใหญ่
ลักษณะไฟล์ของ E-books หากนักเขียนหรือสำนักพิมพ์ต้องการสร้าง E-books จะสามารถเลือกได้สี่รูปแบบ คือ Hyper Text Markup Language (HTML), Portable Document Format (PDF), Peanut Markup Language (PML) และ Extensive Markup Language (XML)
ห้องสมุดอิเล็กทรอนิกส์ (E-library)
บริการงานห้องสมุดระบบอัตโนมัติ เช่น
1) ระบบที่สามารถให้บริการและตรวจสอบได้
2) ระบบบริการยืม - คืน ทรัพยากรด้วยแถบรหัสบาร์โค้ด
3) ระบบบริการสืบค้นข้อมูลทรัพยากร
4) ระบบตรวจเช็คสถิติการใช้บริการห้องสมุด
5) ระบบตรวจเช็คสถิติการยืม - คืนทรัพยากร
6) การสำรวจทรัพยากรประจำปี
7) การพิมพ์บาร์โค้ดทรัพยากรและสมาชิก









การประยุกต์ใช้เทคโนโลยีสารสนเทศในสาขาธุรกิจ พาณิชย์และสำนักงาน
E-commerce: Electronic Commerce
E-commerce หรือการพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ หมายถึง การทำธุรกรรรมในเชิงธุรกิจทุกประเภทที่กระทำผ่านสื่ออิเล็กทรอนิกส์ ซึ่งรวมทั้งการซื้อขาย การแลกเปลี่ยนสินค้าและกิจกรรมต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง เช่น การโฆษณา การประชาสัมพันธ์ การส่งสินค้า การชำระเงิน และการบริการด้านข้อมูล เป็นต้น E-commerce นั้นสามารถให้บริการที่สะดวก รวดเร็ว และไม่จำกัดขอบเขตของผู้ใช้บริการและระยะเวลาทำการของหน่วยงาน
สื่ออิเล็กทรอนิกส์ หมายถึง สื่อที่ใช้อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์เป็นเครื่องมือหลัก ในการปฏิบัติงานและติดต่อสื่อสารข้อมูล ใน E-commerce สื่ออิเล็กทรอนิกส์ของเรา ได้แก่ สื่อโทรทัศน์ สื่อเคเบิลทีวี เครื่องโทรสาร โทรศัพท์พื้นฐาน โทรศัพท์เคลื่อนที่ เครื่อง ATM ระบบการชำระเงินและโอนเงินอัตโนมัติ รวมทั้งเครือข่ายอินเทอร์เน็ต
E-business
E-business เป็นธุรกิจเชิงอิเล็กทรอนิกส์ ซึ่งมีขอบเขตที่กว้างกว่า E-commerce เนื่องจากเป็นการพิจารณาถึงองค์ประกอบทุกส่วนของการดำเนินธุรกิจ มิได้พิจารณาเพียงเฉพาะกิจกรรมการซื้อ-ขายเท่านั้น เป็นการปรับเปลี่ยนกลยุทธ์ทางธุรกิจผนวกกับเทคโนโลยีสารสนเทศ เพื่อดำเนินธุรกรรมต่าง ๆ และปรับปรุงธุรกิจให้มีความเป็นระบบ สามารถดำเนินงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ และช่วยเพิ่มศักยภาพของธุรกิจด้วยการดำเนินธุรกิจให้กลายเป็นรูปแบบ Online และครอบคลุมได้ทั่วโลก
การแลกเปลี่ยนข้อมูลทางอิเล็กทรอนิกส์ (Electronic Data Interchange: EDI)
การแลกเปลี่ยนข้อมูลทางอิเล็กทรอนิกส์ หรือ EDI เป็นเทคโนโลยีที่ใช้คอมพิวเตอร์ในการรับ - ส่งเอกสารจากหน่วยงานหนึ่งไปยังอีกหน่วยงานหนึ่งโดยส่งผ่านเครือข่าย เช่น โทรศัพท์ สายเคเบิล ดาวเทียม เป็นต้น แทนการส่งเอกสารโดยพนักงานส่งสารหรือไปรษณีย์ ระบบ EDI จะต้องใช้รูปแบบของเอกสารที่เป็นมาตรฐานเพื่อให้หน่วยงานทางธุรกิจหรือองค์กรต่างๆ สามารถสื่อสารได้อย่างมีประสิทธิภาพ
สำหรับมาตรฐานของ EDI ในประเทศไทยถูกกำหนดโดยกรมศุลกากร ซึ่งเป็นหน่วยงานแรกที่นำระบบนี้มาใช้งาน คือ มาตรฐาน EDIFACT (Electronic Data Interchange for Administration, Commerce and Transport) ตัวอย่างของเอกสารที่นำมาใช้แลกเปลี่ยนข้อมูลด้วยระบบ EDI เช่น ใบสั่งซื้อสินค้า ใบเสนอราคา ใบกำกับสินค้า ใบเสร็จรับเงิน ใบกำกับภาษี เป็นต้น
ประโยชน์ของการใช้ระบบ EDI
ลดค่าใช้จ่ายด้านการจัดส่งเอกสาร
ลดเวลาทำงานในการป้อนข้อมูล ทำให้ข้อมูลมีความถูกต้อง และลดข้อผิดพลาดจากการป้อนข้อมูลที่ซ้ำซ้อน
เพิ่มความรวดเร็วในการติดต่อสื่อสาร
ลดค่าใช้จ่ายและภาระงานด้านเอกสาร
แก้ปัญหาอุปสรรคทางภูมิศาสตร์และเวลา
ระบบสำนักงานอัตโนมัติ
ปัจจุบันสำนักงานจำนวนมากได้นำเทคโนโลยีสารสนเทศเข้ามาประยุกต์ใช้อย่างแพร่หลาย เพื่อให้งานบังเกิดผลในด้านบวก อาทิ ความสะดวกรวดเร็ว ความถูกต้อง และสามารถทำสำเนาได้เป็นจำนวนมาก เป็นต้น อุปกรณ์เทคโนโลยีสารสนเทศที่นำมาใช้ได้แก่ เครื่องพิมพ์ดีดอิเล็กทรอนิกส์ โทรศัพท์ เทเลเท็กซ์ เครื่องเขียนตามคำบอกอัตโนมัติ (Dictating Machines) เครื่องอ่านและบันทึกวัสดุย่อส่วน เครื่องถ่ายเอกสารแบบหน่วยความจำ เครื่องโทรสาร ฯลฯ อุปกรณ์เหล่านี้ นำไปประยุกต์ใช้กับงานสำนักงาน ดังนั้นการนำเทคโนโลยีเหล่านี้มาใช้ในระบบสำนักงาน จึงเรียกว่า ระบบสำนักงานอัตโนมัติ ซึ่งเทคโนโลยีดังที่กล่าวมานำไปประยุกต์ใช้กับงานสำนักงานได้ในหลายลักษณะ เช่น งานจัดเตรียมเอกสาร งานกระจายเอกสาร งานจัดเก็บและค้นคืนเอกสาร งานจัดเตรียมสารสนเทศในลักษณะภาพ งานสื่อสารสนเทศด้วยเสียง งานสื่อสารสารสนเทศด้วยภาพและเสียง เป็นต้น






การประยุกต์ใช้เทคโนโลยีสารสนเทศในสาขาอุตสาหกรรมและการผลิต
โรงงานอุตสาหกรรมหลายแห่งนำระบบสารสนเทศเพื่อการจัดการ (Management Information System-MIS) เข้ามาช่วยจัดการงานด้านการผลิต การสั่งซื้อ การพัสดุ การเงิน บุคลากร และงานด้านอื่นๆ ในโรงงาน ตัวอย่างการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศในงานอุตสาหกรรมเช่น อุตสาหกรรมการพิมพ์ อุตสาหกรรมประเภทนี้ ใช้ระบบการพิมพ์อิเล็กทรอนิกส์ (Electronic Publishing) ในการจัดเตรียมต้นฉบับ วิดีโอเท็กซ์ วัสดุย่อส่วน และเทเลเท็กซ์ได้ รวมทั้งการพิมพ์ภาพโดยใช้เทอร์มินัลนำเสนอภาพ (Visual Display Terminal) ส่วนอุตสาหกรรมการผลิตรถยนต์ มีการใช้คอมพิวเตอร์ออกแบบรถยนต์ ปฏิบัติการการผลิต (เช่น การพ่นสี การเชื่อมอุปกรณ์ต่างๆ เข้าด้วยกัน ฯลฯ) การขับเคลื่อน การบริการ และการขาย รวมทั้งออกแบบระบบคอมพิวเตอร์ให้สามารถปฏิบัติงานในโรงงานได้ในรูปแบบหุ่นยนต์






การประยุกต์ใช้เทคโนโลยีสารสนเทศในสาขาสาธารณสุขและการแพทย์
งานด้านสาธารณสุขเจริญก้าวหน้าอย่างรวดเร็ว ระบบบริหารได้นำเทคโนโลยี สารสนเทศมาใช้ในงานต่างๆ เช่น การลงทะเบียนผู้ป่วย การสร้างเครือข่ายข้อมูลทางการแพทย์ แลกเปลี่ยนข้อมูลของผู้ป่วย การให้คำปรึกษาทางไกลโดยแพทย์ผู้เชี่ยวชำนาญ เทคโนโลยีสารสนเทศจะช่วยให้แพทย์สามารถเห็นหน้าหรือท่าทางของผู้ป่วยได้ ช่วยให้ส่งข้อมูลที่เป็นเอกสารหรือภาพเพื่อประกอบการพิจารณาของแพทย์ได้ ส่วนด้านให้ความรู้หรือการเรียน การสอนทางไกล ด้วยระบบวิดีโอคอนเฟอร์เรนซ์ เป็นต้น
ระบบแพทย์ทางไกล (Telemedicine)
ระบบแพทย์ทางไกลเป็นการนำเอาความก้าวหน้า ด้านการสื่อสารโทรคมนาคมมาประยุกต์ใช้กับงานทางการแพทย์ โดยการส่งสัญญาณผ่านสื่อซึ่งอาจจะเป็นสัญญาณดาวเทียม (Satellite) หรือใยแก้วนำแสง (Fiber optic) แล้วแต่กรณีควบคู่ไปกับเครือข่ายคอมพิวเตอร์ แพทย์ต้นทางและปลายทางสามารถติดต่อกันด้วยภาพเคลื่อนไหวและเสียง ทำให้สามารถแลกเปลี่ยนข้อมูลคนไข้ระหว่างกันได้






รูปแสดงตัวอย่างระบบแพทย์ทางไกล


ระบบการปรึกษาแพทย์ทางไกล (Medical Consultation)
เป็นระบบการปรึกษาระหว่างโรงพยาบาลกับโรงพยาบาล (One to One) ซึ่งจะสามารถใช้งานพร้อมๆ กันได้ เช่น ในขณะที่โรงพยาบาลที่ 1 ปรึกษากับโรงพยาบาล ที่ 2 อยู่ โรงพยาบาลที่ 3 สามารถขอคำปรึกษาจากโรงพยาบาลที่ 4 และโรงพยาบาลที่ 5 สามารถขอคำปรึกษาจาก โรงพยาบาลที่ 6 ได้ ระบบการปรึกษาแพทย์ทางไกล ประกอบด้วยระบบย่อยๆ 3 ระบบดังนี้คือ
1) ระบบ Teleradiology เป็นระบบการรับส่งภาพ X-Ray โดยผ่านการ Scan Film จาก High Resolution Scanner เพื่อเก็บลงใน File ของเครื่องคอมพิวเตอร์ก่อนที่จะมีการส่ง File ดังกล่าวไปยังโรงพยาบาลที่จะให้คำปรึกษา
2) ระบบ Telecardiology เป็นระบบการรับส่งคลื่นหัวใจ (ECG) และเสียงปอด เสียงหัวใจ โดยผ่านอุปกรณ์เชื่อมต่อมายังอุปกรณ์คอมพิวเตอร์
3) ระบบ Telepathology เป็นระบบรับส่งภาพจากกล้องจุลทรรศน์ (Microscope) ซึ่งอาจจะเป็นภาพเนื้อเยื่อ หรือภาพใดๆ ก็ได้จากกล้องจุลทรรศน์ทั้งชนิด Monocular และ Binocular ระบบนี้เป็นอุปกรณ์เชื่อมต่อกับกล้องจุลทรรศน์ซึ่งมีอยู่ทั่วไปในโรงพยาบาลต่างๆ อยู่แล้ว
ระบบเชื่อมเครือข่ายข้อมูลและโทรศัพท์ (Data and Voice Network)
ระบบเชื่อมเครือข่ายข้อมูลเป็นระบบการใช้งานเชื่อมต่อจากโรงพยาบาลต่างๆ ซึ่งเป็นจุดติดตั้งของโครงการฯ มายังสำนักเทคโนโลยีสารสนเทศ เพื่อให้สามารถใช้บริการทางด้านเครือข่ายข้อมูลต่างๆ คือระบบ Internet ระบบ CD-ROM Server ระบบ ฐานข้อมูลกระทรวงสาธารณสุข
ส่วนระะบบ CD-ROM Server เป็นระบบที่ให้บริการฐานข้อมูลทางการแพทย์จำนวน 5 ฐานข้อมูล ได้แก่ ฐานข้อมูล Medline Standard ฐานข้อมูล Drugs and Pharmacology ฐานข้อมูล Nursing ฐานข้อมูล Health Planning และฐานข้อมูล Excerpta Medica จำนวน 3 modules ได้แก่ Cardiology, Gestro Intestinal, Nephrology


การประยุกต์ใช้เทคโนโลยีสารสนเทศในสาขาบันเทิง
ยุคของสังคมสารสนเทศที่มีลักษณะการใช้นวัตกรรมเทคโนโลยี และเทคโนโลยีสารสนเทศ จึงทำให้เกิด อีซีนีม่า (E-cinema) กิจกรรมต่างๆ สำหรับสมาชิกที่เข้ามาใช้ อีซีนีม่า คือ เปิดออนไลน์ บุ๊คกิ้งมีการเปิดให้จองตั๋วและเลือกที่นั่งทางเว็บไซต์ ลูกค้าสามารถจ่ายเงินในเว็บได้เลยโดยผ่านบัตรเครดิต ธุรกิจด้านอีซีนีม่านี้นับได้ว่ามีประโยชน์มหาศาล เพราะทางเจ้าของกิจการได้มีการบอกข่าวสารบางอย่างที่ลูกค้าไม่รู้ทุกอย่างรวมอยู่ในเว็บ ซึ่งมีความสำคัญอย่างมากในเชิงธุรกิจ ทั้งได้รับการตอบรับสูงจากลูกค้า ของการเปิดจองทั้งระบบ ซึ่งปัจจุบันบริการทั้งระบบโทรศัพท์และระบบออนไลน์


การประยุกต์ใช้เทคโนโลยีสารสนเทศในหน่วยงานราชการต่างๆ
สำนักบริการเทคโนโลยีสารสนเทศภาครัฐ (Government Information Technology Services - GITS) ลักษณะงานของสำนักบริการเทคโนโลยีสารสนเทศภาครัฐ จะให้บริการเครือข่ายสารสนเทศภาครัฐ (Government Information Network) เพื่อตอบสนองการบริหารงานสำหรับหน่วยงานของภาครัฐอย่างปลอดภัย และมีประสิทธิภาพสูง ส่งเสริมหน่วยงานภาครัฐให้มีการนำเทคโนโลยีสารสนเทศมาใช้ในการดำเนินงาน อันนำไปสู่การเป็น E-government และเป็นศูนย์กลางส่งเสริมให้เกิดระบบการเชื่อมโยงข่าวสารระหว่างภาครัฐและประชาชน
สำนักงานอัตโนมัติ (Office Automation - OA) สำนักงานอัตโนมัติที่หน่วยงานของรัฐจัดทำขึ้นมีชื่อว่า IT Model Office เป็นโครงการนำร่องที่จัดทำขึ้นเพื่อพัฒนาระบบเครือข่ายพื้นฐานของภาครัฐ ในรูปของสำนักงานอัตโนมัติ เช่น งานสารบรรณ งานจัดทำเอกสารและจัดส่งทางจดหมายอิเล็กทรอนิกส์ งานแฟ้มเอกสาร งานบันทึกการนัดหมายผู้บริหาร ซึ่งระบบงานที่สำคัญมีดังนี้คือ
ระบบนำเสนอข้อมูลข่าวสารสำหรับผู้บริหาร
ระบบจดหมายอิเล็กทรอนิกส์แบบปลอดภัย ได้มีการนำเทคโนโลยีลายเซ็นต์ดิจิทัล (Digital signature) เข้ามาช่วยในการยืนยันผู้ส่งและยืนยันความแท้จริงของอีเมล
อินเทอร์เน็ตตำบล เป็นการวางระบบเครือข่ายอินเทอร์เน็ตให้ตำบลต่างๆ ทั่วประเทศสามารถเข้าใช้อินเทอร์เน็ตได้อย่างมีประสิทธิภาพ อันจะเป็นประโยชน์อย่างมากในด้านต่างๆ เช่น หน่วยงานของรัฐ และองค์กรต่างๆ สามารถมีส่วนร่วมในการจัดทำและใช้ประโยชน์จากระบบอินเทอร์เน็ตตำบล โดยเฉพาะอย่างยิ่ง หน่วยงานที่อยู่ ณ ตำบลและใกล้ชิดกับประชาชน ก็จะมีความสำคัญและความรับผิดชอบในการจัดทำ ตรวจสอบและปรับปรุงข้อมูล รวมทั้งให้บริการแก่กลุ่มชนต่างๆ
การประยุกต์ใช้เทคโนโลยีสารสนเทศด้านสรรพกร เนื่องจากกรมสรรพากรทำหน้าที่เป็นเหมือนแหล่งรายได้ของรัฐบาล รายได้จากการจัดเก็บภาษีของกรมสรรพากรมีมากถึง 60 เปอร์เซ็นต์ของรายได้รวมของประเทศ ดังนั้นรัฐบาลจำต้องให้ความสำคัญกับระบบการจัดเก็บ ข้อมูลและประวัติของผู้เสียภาษีอย่างต่อเนื่องนอกจากนี้ สภาพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ยังต้องการข้อมูลเพื่อนำไปวิเคราะห์เพื่อทำ Macro Model หรือแบบจำลองทางเศรษฐศาสตร์ให้กับประเทศอีกด้วย ปัจจุบันกรมสรรพกรได้จัดทำโครงการ E-revenue ซึ่งเป็นบริการเสียภาษีออนไลน์ นอกจากนี้ยังให้ข้อมูลข่าวสารที่มีประโยชน์ด้านการพาณิชย์ มีบริการโปรแกรมประการยื่นแบบ บริการแบบพิมพ์ บริการยื่นแบบผ่านอินเทอร์เน็ต เป็นต้น ซึ่งอำนวยความสะดวก รวดเร็ว มากยิ่งขึ้นต่อประชาชนผู้ใช้บริการ


วันจันทร์ที่ 12 กรกฎาคม พ.ศ. 2553

องค์ประกอบของคอมพิวเตอร์

องค์ประกอบของคอมพิวเตอร์


ในความเป็นจริงแล้ว ตัวเครื่องคอมพิวเตอร์ที่เราเห็นๆ กันอยู่นี้เป็นเพียงองค์ประกอบส่วนหนึ่งของระบบคอมพิวเตอร์เท่านั้น แต่ถ้าต้องการให้เครื่องคอมพิวเตอร์แต่ละเครื่องสามารถทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพตามที่เราต้องการนั้น จำเป็นต้องอาศัยองค์ประกอบพื้นฐาน 4 ประการมาทำงานประสานงานร่วมกัน ซึ่งองค์ประกอบพื้นฐานของระบบคอมพิวเตอร์ประกอบไปด้วย

ฮาร์ดแวร์(Hardware)
หมายถึง อุปกรณ์ต่างๆ ที่ประกอบขึ้นเป็นเครื่องคอมพิวเตอร์ มีลักษณะเป็นโครงร่างสามารถมองเห็นด้วยตาและสัมผัสได้ (รูปธรรม) เช่น จอภาพ คีย์บอร์ด เครื่องพิมพ์ เมาส์ เป็นต้น ซึ่งสามารถแบ่งออกเป็นส่วนต่างๆ ตามลักษณะการทำงาน ได้ 4 หน่วย คือ หน่วยรับข้อมูล (Input Unit) หน่วยประมวลผลกลาง (Central Processing Unit : CPU) หน่วยแสดงผล (Output Unit) หน่วยเก็บข้อมูลสำรอง (Secondary Storage) โดยอุปกรณ์แต่ละหน่วยมีหน้าที่การทำงานแตกต่างกัน ดังภาพ



ซอฟต์แวร์(Software)

หมายถึง ส่วนที่มนุษย์สัมผัสไม่ได้โดยตรง (นามธรรม) เป็นโปรแกรมหรือชุดคำสั่งที่ถูกเขียนขึ้นเพื่อสั่งให้เครื่องคอมพิวเตอร์ทำงาน ซอฟต์แวร์จึงเป็นเหมือนตัวเชื่อมระหว่างผู้ใช้เครื่องคอมพิวเตอร์และเครื่องคอมพิวเตอร์ ถ้าไม่มีซอฟต์แวร์เราก็ไม่สามารถใช้เครื่องคอมพิวเตอร์ทำอะไรได้เลย ซอฟต์แวร์สำหรับเครื่องคอมพิวเตอร์สามารถแบ่งออกได้เป็น


1. ซอฟต์แวร์สำหรับระบบ (System Software)
คือ ชุดของคำสั่งที่เขียนไว้เป็นคำสั่งสำเร็จรูป ซึ่งจะทำงานใกล้ชิดกับคอมพิวเตอร์มากที่สุด เพื่อคอยควบคุมการทำงานของฮาร์ดแวร์ทุกอย่าง และอำนวยความสะดวกให้กับผู้ใช้ในการใช้งาน ซอฟต์แวร์หรือโปรแกรมระบบที่รู้จักกันดีก็คือ DOS, Windows, Unix, Linux รวมทั้งโปรแกรมแปลคำสั่งที่เขียนในภาษาระดับสูง เช่น ภาษา Basic, Fortran, Pascal, Cobol, C เป็นต้น นอกจากนี้โปรแกรมที่ใช้ในการตรวจสอบระบบเช่น Norton’s Utilities ก็นับเป็นโปรแกรมสำหรับระบบด้วยเช่นกัน


2. ซอฟต์แวร์ประยุกต์ (Application Software)
คือ ซอฟต์แวร์หรือโปรแกรมที่มำให้คอมพิวเตอร์ทำงานต่างๆ ตามที่ผู้ใช้ต้องการ ไม่ว่าจะด้านเอกสาร บัญชี การจัดเก็บข้อมูล เป็นต้น ซอฟต์แวร์ประยุกต์สามารถจำแนกได้เป็น 2 ประเภท คือ


2.1 ซอฟต์แวร์สำหรับงานเฉพาะด้าน คือ โปรแกรมซึ่งเขียนขึ้นเพื่อการทำงานเฉพาะอย่างที่เราต้องการ บางที่เรียกว่า User’s Program เช่น โปรแกรมการทำบัญชีจ่ายเงินเดือน โปรแกรมระบบเช่าซื้อ โปรแกรมการทำสินค้าคงคลัง เป็นต้น ซึ่งแต่ละโปรแกรมก็มักจะมีเงื่อนไข หรือแบบฟอร์มแตกต่างกันออกไปตามความต้องการ หรือกฏเกณฑ์ของแต่ละหน่วยงานที่ใช้ ซึ่งสามารถดัดแปลงแก้ไขเพิ่มเติม (Modifications) ในบางส่วนของโปรแกรมได้ เพื่อให้ตรงกับความต้องการของผู้ใช้ และซอฟต์แวร์ประยุกต์ที่เขียนขึ้นนี้โดยส่วนใหญ่มักใช้ภาษาระดับสูงเป็นตัวพัฒนา


2.3 ซอฟต์แวร์สำหรับงานทั่วไป เป็นโปรแกรมประยุกต์ที่มีผู้จัดทำไว้ เพื่อใช้ในการทำงานประเภทต่างๆ ทั่วไป โดยผู้ใช้คนอื่นๆ สามารถนำโปรแกรมนี้ไปประยุกต์ใช้กับข้อมูลของตนได้ แต่จะไม่สามารถทำการดัดแปลง หรือแก้ไขโปรแกรมได้ ผู้ใช้ไม่จำเป็นต้องเขียนโปรแกรมเอง ซึ่งเป็นการประหยัดเวลา แรงงาน และค่าใช้จ่ายในการเขียนโปรแกรม นอกจากนี้ ยังไม่ต้องเวลามากในการฝึกและปฏิบัติ ซึ่งโปรแกรมสำเร็จรูปนี้ มักจะมีการใช้งานในหน่วยงานมราขาดบุคลากรที่มีความชำนาญเป็นพิเศษในการเขียนโปรแกรม ดังนั้น การใช้โปรแกรมสำเร็จรูปจึงเป็นสิ่งที่อำนวยความสะดวกและเป็นประโยชน์อย่างยิ่ง ตัวอย่างโปรแกรมสำเร็จรูปที่นิยมใช้ได้แก่ MS-Office, Lotus, Adobe Photoshop, SPSS, Internet Explorer และ เกมส์ต่างๆ เป็นต้น

บุคลากร(peopleware)

หมายถึง บุคลากรในงานด้านคอมพิวเตอร์ ซึ่งมีความรู้เกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ สามารถใช้งาน สั่งงานเพื่อให้คอมพิวเตอร์ทำงานตามที่ต้องการ แบ่งออกได้ 4 ระดับ ดังนี้


1. ผู้จัดการระบบ (System Manager)
คือ ผู้วางนโยบายการใช้คอมพิวเตอร์ให้เป็นไปตามเป้าหมายของหน่วยงาน


2. นักวิเคราะห์ระบบ (System Analyst)
คือ ผู้ที่ศึกษาระบบงานเดิมหรืองานใหม่และทำการวิเคราะห์ความเหมาะสม ความเป็นไปได้ในการใช้คอมพิวเตอร์กับระบบงาน เพื่อให้โปรแกรมเมอร์เป็นผู่เขียนโปรแกรมให้กับระบบงาน


3. โปรแกรมเมอร์ (Programmer)
คือ ผู้เขียนโปรแกรมสั่งงานเครื่องคอมพิวเตอร์เพื่อให้ทำงานตามความต้องการของผู้ใช้ โดยเขียนตามแผนผังที่นักวิเคราะห์ระบบได้เขียนไว้


4. ผู้ใช้ (User)
คือ ผู้ใช้งานคอมพิวเตอร์ทั่วไป ซึ่งต้องเรียนรู้วิธีการใช้เครื่อง และวิธีการใช้งานโปรแกรม เพื่อให้โปรแกรมที่มีอยู่สามารถทำงานได้ตามที่ต้องการ

เนื่องจากเป็นผู้กำหนดโปรแกรมและใช้งานเครื่องคอมพิวเตอร์ มนุษย์จึงเป็นตัวแปรสำคัญในอันที่จะทำให้ผลลัพธ์มีความน่าเชื่อถือ เนื่องจากคำสั่งและข้อมูลที่ใช้ในการประมวลผลได้รับจากการกำหนดของมนุษย์ (Peopleware) ทั้งสิ้น

ข้อมูล(Data)

ข้อมูลเป็นองค์ประกอบที่สำคัญอย่างหนึ่งในระบบคอมพิวเตอร์ เป็นสิ่งที่ต้องป้อนเข้าไปในคอมพิวเตอร์ พร้อมกับโปรแกรมที่นักคอมพิวเตอร์เขียนขึ้นเพื่อผลิตผลลัพธ์ที่ต้องการออกมา ข้อมูลที่สามารถนำมาใช้กับคอมพิวเตอร์ได้ มี 5 ประเภท คือ ข้อมูลตัวเลข (Numeric Data) ข้อมูลตัวอักษร (Text Data) ข้อมูลเสียง (Audio Data) ข้อมูลภาพ (Images Data) และข้อมูลภาพเคลื่อนไหว (Video Data)
ในการนำข้อมูลไปใช้นั้น เรามีระดับโครงสร้างของข้อมูลดังนี้

โครงสร้างข้อมูล(Data Structure)

บิต (Bit) คือ ข้อมูลที่มีขนาดเล็กที่สุด เป็นข้อมูลที่เครื่องคอมพิวเตอร์สามารถเข้าใจและนำไปใช้งานได้ ซึ่งได้แก่ เลข 0 หรือ เลข 1 เท่านั้น

ไบต์ (Byte) หรือ อักขระ (Character) ได้แก่ ตัวเลข หรือ ตัวอักษร หรือ สัญลักษณ์พิเศษ 1 ตัว เช่น 0, 1, …, 9, A, B, …, Z และเครื่องหมายต่างๆ ซึ่ง 1 ไบต์จะเท่ากับ 8 บิต หรือ ตัวอักขระ 1 ตัว เป็นต้น

ฟิลด์ (Field) ได้แก่ ไบต์ หรือ อักขระตั้งแต่ 1 ตัวขึ้นไปรวมกันเป็นฟิลด์ เช่น เลขประจำตัว ชื่อพนักงาน เป็นต้น

เรคคอร์ด (Record) ได้แก่ ฟิลด์ตั้งแต่ 1 ฟิลด์ ขึ้นไป ที่มีความสัมพันธ์เกี่ยวข้องรวมกันเป็นเรคคอร์ด เช่น ชื่อ นามสกุล เลขประจำตัว ยอดขาย ข้อมูลของพนักงาน 1 คน เป็น 1 เรคคอร์ด

ไฟล์ (Files) หรือ แฟ้มข้อมูล ได้แก่ เรคคอร์ดหลายๆ เรคคอร์ดรวมกัน ซึ่งเป็นเรื่องเดียวกัน เช่น ข้อมูลของประวัติพนักงานแต่ละคนรวมกันทั้งหมดเป็นไฟล์หรือแฟ้มข้อมูลเกี่ยวกับประวัติพนักงานของบริษัท เป็นต้น

ฐานข้อมูล (Database) คือ การเก็บรวบรวมไฟล์ข้อมูลหลายๆ ไฟล์ที่เกี่ยวข้องกันมารวมเข้าด้วยกัน เช่น ไฟล์ข้อมูลของแผนกต่างๆ มารวมกันเป็นฐานข้อมูลของบริษัท เป็นต้น


การวัดขนาดข้อมูล
ในการพิจารณาว่าข้อมูลใดมีขนาดมากน้อยเพียงไร เรามีหน่วยในการวัดขนาดของข้อมูลดังต่อไปนี้
8 Bit=1 Byte
1,024 Byte=1 KB (กิโลไบต์)
1,024 KB=1 MB (เมกกะไบต์)
1,024 MB=1 GB (กิกะไบต์)
1,024 GB=1TB (เทระไบต์)

วันพุธที่ 7 กรกฎาคม พ.ศ. 2553

ประเภทของคอมพิวเตอร์
































คอมพิวเตอร์สามารถจำแนกได้หลายประเภท ขึ้นอยู่กับความแตกต่างของขนาดเครื่องความเร็วในการประมวลผล และราคาเป็นข้อพิจารณาหลัก โดยทั่วไปนิยมจำแนกประเภท คอมพิวเตอร์ เป็น 6 ประเภทดังนี้คือ
ซูเปอร์คอมพิวเตอร์ (supercomputer) เป็นคอมพิวเตอร์ที่มีประสิทธิภาพในการทำงานสูงสุด จึงราคาแพงมาก ความสามารถในการประมวลผลที่ทำได้มากกว่า พันล้านคำสั่งต่อวินาที ตัวอย่างการใช้งานคอมพิวเตอร์ประเภทนี้ เช่น การพยากรณ์อากาศการทดสอบทางอวกาศ และงานอื่น ๆ ที่มีการคำนวณที่ซับซ้อน





คอมพิวเตอร์เมนเฟรมหรือคอมพิวเตอร์ขนาดใหญ่ (mainframe computer) เป็นคอมพิวเตอร์ที่มีประสิทธิภาพรองจากซูเปอร์คอมพิวเตอร์ สามารถรองรับการทำงานจากผู้ใช้ได้หลายร้อยคนในเวลาเดียวกัน ประมวลผลด้วยความเร็วสูง มีหน่วยความจำหลักขนาดใหญ่ ตลอดจนการจัดเก็บข้อมูลได้เป็นจำนวนมาก คอมพิวเตอร์เมนเฟรม นิยมใช้กับองค์การขนาดใหญ่ที่มีการเข้าถึง ข้อมูลของผู้ใช้จำนวน มากในเวลาเดียวกันเช่น งานธนาคาร การจองตั๋วเครื่องบิน การลงทะเบียนและการตรวจสอบผลการเรียน ของนักศึกษา เป็นต้น




มินิคอมพิวเตอร์ หรือคอมพิวเตอร์ขนาดกลาง (minicomputer) เป็นคอมพิวเตอร์ที่มีประสิทธิภาพในการทำงานน้อยกว่า เมนเฟรมแต่สูงกว่าไมโครคอมพิวเตอร์ และสามารถรองรับการทำงาน จากผู้ใช้ได้หลายคนในการทำงาน ที่แตกต่างกัน จากจุดเริ่มต้นใน การพัฒนา ที่ต้องการให้ คอมพิวเตอร์ประเภทนี้ทำงานเฉพาะอย่าง เช่น การคำนวณทางด้านวิศวกรรม ทำให้การพัฒนามินิคอมพิวเตอร์ เจริญอย่างรวดเร็ว ปัจจุบันธุรกิจและองค์การหลายประเภทนิยมนำ มินิคอมพิวเตอร์มา ใช้ในการให้บริการข้อมูลแก่ลูกค้า เช่น การจองห้องพักของโรงแรม การทำงานด้านบัญชีขององค์การธุรกิจ เป็นต้น



คอมพิวเตอร์ (server computer) เป็นคอมพิวเตอร์ที่สนับสนุนการทำงานของคอมพิวเตอร์ เครือข่ายซึ่งใช้ในการจัดสรรและใช้ทรัพยากรร่วมกัน เช่น แฟ้มข้อมูล โปรแกรมประยุกต์ อุปกรณ์คอมพิวเตอร์ ( เช่น เครื่องพิมพ์และอุปกรณ์อื่นๆ)
ไมโครคอมพิวเตอร์ (microcomputer) เป็นคอมพิวเตอร์ที่มีผู้นิยมใช้แพร่หลายมากที่สุด ส่งผลให้การพัฒนาเครื่องไมโครคอมพิวเตอร์มีลักษณะและรูปแบบ ที่แตกต่างกัน เช่น คอมพิวเตอร์ตั้งโต๊ะ ( desktop computer ) คอมพิวเตอร์พกพา ( portable computer ) ซึ่งมีรายละเอียดดังนี้


คอมพิวเตอร์แบบฝัง (embedded computer ) เป็นคอมพิวเตอร์ที่ฝังในอุปกรณ์ต่าง ๆ นิยมนำมาใช้ทำงาน เฉพาะด้าน พิจารณาจากภายนอกจะไม่เห็นว่าเป็นคอมพิวเตอร์แต่จะ ทำหน้าที่ควบคุมการทำงานบางอย่างของอุปกรณ์นั้นๆ คอมพิวเตอร์ประเภทนี้ เช่น เครื่องเล่นเกม ระบบเติมน้ำมันอัตโนมัติ โทรศัพท์มือถือ เป็นต้น

คุณสมบัติของคอมพิวเตอร์

เครื่องคอมพิวเตอร์ถูกสร้างขึ้นมาเพื่อให้มีจุดเด่น 4 ประการ เพื่อทดแทนข้อจำกัดของมนุษย์ เรียกว่า 4 S special ดังนี้

1. หน่วยเก็บ (Storage)
หมายถึง ความสามารถในการเก็บข้อมูลจำนวนมากและเป็นเวลานาน นับเป็นจุดเด่นทางโครงสร้างและเป็นหัวใจของการทำงานแบบอัตโนมัติของเครื่องคอมพิวเตอร์ ทั้งเป็นตัวบ่งชี้ประสิทธิภาพของคอมพิวเตอร์แต่ละเครื่องด้วย

2. ความเร็ว (Speed)
หมายถึง ความสามารถในการประมวลผลข้อมูล (Processing Speed) โดยใช้เวลาน้อย เป็นจุดเด่นทางโครงสร้างที่ผู้ใช้ทั่วไปมีส่วนเกี่ยวข้องน้อยที่สุด เป็นตัวบ่งชี้ประสิทธิภาพของเครื่องคอมพิวเตอร์ที่สำคัญส่วนหนึ่งเช่นกัน

3. ความเป็นอัตโนมัติ (Self Acting)
หมายถึง ความสามารถในการประมวลผลข้อมูลตามลำดับขั้นตอนได้อย่างถูกต้องและต่อเนื่องอย่างอัตโนมัติ โดยมนุษย์มีส่วนเกี่ยวข้องเฉพาะในขั้นตอนการกำหนดโปรแกรมคำสั่งและข้อมูลก่อนการประมวลผลเท่านั้น

4. ความน่าเชื่อถือ (Sure)
หมายถึง ความสามารถในการประมวลผลให้เกิดผลลัพธ์ที่ถูกต้อง ความน่าเชื่อถือนับเป็นสิ่งสำคัญที่สุดในการทำงานของเครื่องคอมพิวเตอร์ ความสามารถนี้เกี่ยวข้องกับโปรแกรมคำสั่งและข้อมูลที่มนุษย์กำหนดให้กับเครื่องคอมพิวเตอร์โดยตรง กล่าวคือ หากมนุษย์ป้อนข้อมูลที่ไม่ถูกต้องให้กับเครื่องคอมพิวเตอร์ก็ย่อมได้ผลลัพธ์ที่ไม่ถูกต้องด้วยเช่นกัน

วงจรการทำงานของคอมพิวเตอร์


คอมพิวเตอร์ไม่ว่าจะเป็นประเภทใดก็ตาม จะมีลักษณะการทำงานของส่วนต่างๆที่มีความสัมพันธ์กันเป็นกระบวนการ โดยมีองค์ประกอบพื้นฐานหลักคือ Input Process และ output ซึ่งมีขั้นตอนการทำงานดังภาพ




ขั้นตอนที่ 1 : รับข้อมูลเข้า (Input)
เริ่มต้นด้วยการนำข้อมูลเข้าเครื่องคอมพิวเตอร์ ซึ่งสามารถผ่านทางอุปกรณ์ชนิดต่างๆ แล้วแต่ชนิดของข้อมูลที่จะป้อนเข้าไป เช่น ถ้าเป็นการพิมพ์ข้อมูลจะใช้แผงแป้นพิมพ์ (Keyboard) เพื่อพิมพ์ข้อความหรือโปรแกรมเข้าเครื่อง ถ้าเป็นการเขียนภาพจะใช้เครื่องอ่านพิกัดภาพกราฟิค (Graphics Tablet) โดยมีปากกาชนิดพิเศษสำหรับเขียนภาพ หรือถ้าเป็นการเล่นเกมก็จะมีก้านควบคุม (Joystick) สำหรับเคลื่อนตำแหน่งของการเล่นบนจอภาพ เป็นต้น

ขั้นตอนที่ 2 : ประมวลผลข้อมูล (Process)
เมื่อนำข้อมูลเข้ามาแล้ว เครื่องจะดำเนินการกับข้อมูลตามคำสั่งที่ได้รับมาเพื่อให้ได้ผลลัพธ์ตามที่ต้องการ การประมวลผลอาจจะมีได้หลายอย่าง เช่น นำข้อมูลมาหาผลรวม นำข้อมูลมาจัดกลุ่ม นำข้อมูลมาหาค่ามากที่สุด หรือน้อยที่สุด เป็นต้น

ขั้นตอนที่ 3 : แสดงผลลัพธ์ (Output)
เป็นการนำผลลัพธ์จากการประมวลผลมาแสดงให้ทราบทางอุปกรณ์ที่กำหนดไว้ โดยทั่วไปจะแสดงผ่านทางจอภาพ หรือเรียกกันโดยทั่วไปว่า "จอมอนิเตอร์" (Monitor) หรือจะพิมพ์ข้อมูลออกทางกระดาษโดยใช้เครื่องพิมพ์ก็ได้

ความหมายของคอมพิมเตอร์

คอมพิวเตอร์มาจากภาษาละตินว่า Computare ซึ่งหมายถึง การนับ หรือ การคำนวณ พจนานุกรม ฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. 2525 ให้ความหมายของคอมพิวเตอร์ไว้ว่า "เครื่องอิเล็กทรอนิกส์แบบอัตโนมัติ ทำหน้าที่เหมือนสมองกล ใช้สำหรับแก้ปัญหาต่างๆ ที่ง่ายและซับซ้อนโดยวิธีทางคณิตศาสตร์"




คอมพิวเตอร์จึงเป็นเครื่องจักรอิเล็กทรอนิกส์ที่ถูกสร้างขึ้นเพื่อใช้ทำงานแทนมนุษย์ ในด้านการคิดคำนวณและสามารถจำข้อมูล ทั้งตัวเลขและตัวอักษรได้เพื่อการเรียกใช้งานในครั้งต่อไป นอกจากนี้ ยังสามารถจัดการกับสัญลักษณ์ได้ด้วยความเร็วสูง โดยปฏิบัติตามขั้นตอนของโปรแกรม คอมพิวเตอร์ยังมีความสามารถในด้านต่างๆ อีกมาก อาทิเช่น การเปรียบเทียบทางตรรกศาสตร์ การรับส่งข้อมูล การจัดเก็บข้อมูลในตัวเครื่องและสามารถประมวลผลจากข้อมูลต่างๆ ได้

บทที่ 3 เทคโนโลยีคอมพิวเตอร์

เรื่อง เทคโนโลยีคอมพิวเตอร์
จัดทำโดย
นางสาวมิ่งขวัญ โพธิ์ระศรี เลขที่ 28 ชั้น ม.4/1
นางสาวกนิษฐา ลิ้งไธสง เลขที่ 11 ชั้น ม.4/1
เสนอ
คุณครูศิริพร วีระชัยรัตนา
ครูผู้สอน
โรงเรียนห้วยแถลงพิทยาคม
วิชาเทคโนโลยีสารสนเทศและคอมพิวเตอร์ รหัสวิชา 30201
ภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2553
สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาเขต 2
กระทรวงศึกษาธิการ