ให้นักเรียนตอบคำถามเป็นรายบุคคล เมื่อครูยกตัวอย่างกรณีศึกษาว่า ถ้าต้องการนำข้อมูลนักเรียนไปจัดเก็บไว้ในระบบคอมพิวเตอร์ เพื่อใช้เป็นข้อมูลสำหรับงานทะเบียน ในการบันทึกผลคะแนนให้แก่นักเรียนแต่ล่ะคน และสำหรับงานปกครอง เพื่อใช้ในการบันทึกข้อมูลนักเรียนที่มาสาย ลา หรือขาดเรียน เราควรจะประมวลผลข้อมูลแบบแฟ้มข้อมูล หรือแบบฐานข้อมูล เพราะอะไร
ตอบ
แบบฐานข้อมูล เพราะว่าสามารถใช้ข้อมูลร่วมกันได้ การจัดเก็บข้อมูลไว้ในที่เดียวจะช่วยให้แต่ล่ะงานสามารถใช้ข้อมูลร่วมกันได้
มิ่งขวัญ,กนิษฐา 4/1
วันจันทร์ที่ 27 กันยายน พ.ศ. 2553
วันพุธที่ 22 กันยายน พ.ศ. 2553
กิจกรรมส่งเสริมการเรียนรู้ หน่วยที่ 5
1.ให้นักเรียนค้นหาข้อมูลจากอินเตอร์เน็ตโดยให้หาความหมายของคำว่า open source
ตอบ
โอเพนซอร์ซ หรือ โอเพนซอร์ส [1] (open source) คือวิธีการในการออกแบบ พัฒนา และแจกจ่ายสำหรับต้นฉบับของสินค้าหรือความรู้ โดยเฉพาะซอฟต์แวร์ โดยโอเพนซอร์ซถูกพิจารณาว่าเป็นทั้งรูปแบบหนึ่งในการออกแบบ และแผนการในการดำเนินการ โดยโอเพนซอร์ซเปิดโอกาสให้บุคคลอื่นนำเอาระบบนั้นไปพัฒนาได้ต่อไป
2.ให้นักเรียนบอกซอฟต์แวร์ที่พัฒนาโดยคนไทย และให้บอกคุณสมบัติของซอฟต์แวร์ดังกล่าว
ตอบ
ไอดิโอเทคฯ พัฒนา “ซอฟต์แวร์บริหารเครือข่ายอัจฉริยะ” แก้ปัญหาอินเทอร์เน็ตความเร็วสูงในอาคารใหญ่
ปัจจุบัน อินเทอร์เน็ตนับเป็นแหล่งความรู้ที่เข้าถึงได้ง่ายและรวดเร็ว อีกทั้งเป็นช่องทางสำคัญในการติดต่อสื่อสารที่โดยเฉพาะกับภาคธุรกิจ และ “อินเทอร์เน็ตความเร็วสูง” ที่กำลังเป็นที่นิยมในขณะนี้ก็เกิดจากการพัฒนาขีดความสามารถอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้คนทุกกลุ่มสามารถเข้าถึงเทคโนโลยีสารสนเทศเหล่านั้นได้สะดวกยิ่งขึ้น
การใช้งานอินเทอร์เน็ตภายในอาคารมีความต้องการที่เพิ่มสูงขึ้น ทำให้ประสบปัญหาการแบ่งปันความเร็วในการต่อเชื่อมอินเทอร์เน็ต (Internet Speed Sharing ) ที่มีผู้ใช้งานพร้อมกันจำนวนมาก โดยมีความเร็วไม่เท่ากันและไม่สม่ำเสมอ เพราะมักมีผู้ใช้งานส่วนหนึ่งดาวน์โหลดไฟล์ที่มีขนาดใหญ่อยู่ตลอดเวลา ทำให้ความเร็วในการเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตส่วนใหญ่ต้องสูญเสียไปหรือตกไปอยู่ที่กลุ่มผู้ใช้งานกลุ่มดังกล่าว ส่งผลให้ผู้ใช้งานกลุ่มที่เหลือไม่สามารถใช้งานอินเทอร์เน็ตได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยเฉพาะในเวลาเร่งด่วน ถึงแม้ว่าทางเจ้าของอาคารหรือองค์กรจะพยายามแก้ปัญหาโดยการเช่าสัญญาณอินเทอร์เน็ตความเร็วที่สูงมากขึ้น 2 หรือ 3 เท่าแล้ว ก็ยังไม่สามารถแก้ปัญหาได้ เพราะเป็นการแก้ปัญหาที่ไม่ถูกจุด อีกทั้งยังทำให้ต้องสิ้นเปลืองค่าใช้จ่ายต่อปีเป็นมูลค่าสูงโดยไม่จำเป็นแล้ว
หรือแม้แต่การนำเข้าอุปกรณ์ฮาร์ดแวร์ (Hardware) จากต่างประเทศมาช่วยควบคุมคุณภาพการใช้อินเทอร์เน็ต ซึ่งก็สามารถแก้ปัญหาได้ แต่อุปกรณ์เหล่านั้นมีราคาแพงและรูปแบบการปรับความเร็วยังมีจำกัด ไม่เหมาะต่อการทำ Quality of Services ที่สอดคล้องกับความต้องการทางธุรกิจ ซึ่งต้องแก้ปัญหาในเรื่องของการจัดสรรทรัพยากรอย่างไม่ทั่วถึงและไม่เท่าเทียม ไม่ใช่ความเร็วในการต่อเชื่อมที่ไม่เพียงพอ
สำหรับคุณสมบัติของซอฟแวร์ที่พัฒนาขึ้นนี้ นอกจากจะช่วยลดต้นทุนในการนำเข้าอุปกรณ์ฮาร์ดแวร์จากต่างประเทศที่มีราคาแพง (เฉลี่ยประมาณหลักแสนบาท) ขณะที่ซอฟต์แวร์ที่พัฒนาขึ้นมีราคาถูกกว่า (เฉลี่ยประมาณหลักหมื่นบาท) แล้ว ยังมีคุณสมบัติการใช้งานมากกว่า อาทิ สามารถควบคุมการใช้บริการอินเทอร์เน็ตให้อยู่ในความเร็วที่คงที่สม่ำเสมอ มีระบบจัดรูปแบบการใช้งานอินเทอร์เน็ต คือ สามารถจัดรูปแบบการบริการอินเทอร์เน็ตให้กับผู้ที่ต้องการใช้ความเร็วที่สูงกว่าห้องอื่นๆ ได้ โดยไม่ไปรบกวนความเร็วการใช้อินเทอร์เน็ตของคนอื่น นอกจากนี้ ยังมีระบบการคิดราคา ระบบการออกรายงาน และระบบการตรวจสอบ หรือ Network Monitor Bandwidth ซึ่งคุณสมบัติเหล่านี้เป็นสิ่งที่ฮาร์ดแวร์ไม่มี
3.ให้นักเรียนค้าหาข้อมูล ความรู้เกี่ยวกับลิขสิทธิ์ซอฟต์แวร์ที่ได้บังคับใช้ในปัจจุบัน
ตอบ
การละเมิดลิขสิทธิ์ซอฟต์แวร์ หมายถึงการกระทำที่เกี่ยวข้องกับการคัดลอกซอฟต์แวร์คอมพิวเตอร์โดยไม่ได้รับอนุญาต โดยมีหลายประเทศที่มีกฎหมายลิขสิทธิ์ที่มีกฎหมายบังคับ แต่ระดับการบังคับแตกต่างกันไป ระบบคอมพิวเตอร์ที่เก่าแก่ที่สุดในทุกวันนี้มีอายุราว 40 ปี ในด้านลิขสิทธิ์แล้วจะไม่หมดลิขสิทธิ์ไปจนราวปี ค.ศ. 2030 ในสหรัฐอเมริกาและยุโรป
ประเภทของการละเมิดลิขสิทธิ์ซอฟต์แวร์
1. การทำสำเนาโดยผู้ใช้งาน (Enduser Copy) คือ การทำสำเนาโดยผู้ใช้งาน การทำสำเนาแจกจ่ายระหว่างผู้ใช้งานแม้ว่าจะเป็นการทำสำเนาจากซอฟต์แวร์ต้นฉบับของแท้ ก็จัดว่าเป็นการละเมิดประเภทหนึ่ง เนื่องจากมีการติดตั้งซอฟต์แวร์ หรือการใช้งานซอฟต์แวร์มากกว่าจำนวนที่ได้รับสิทธิ การกระทำเช่นนี้มิเพียงแต่เสี่ยงต่อการถูกดำเนินคดีทางกฎหมายเท่านั้น หากแต่ยังเสี่ยงต่อการแพร่ระบาดของไวรัส และความเสียหายของข้อมูล ฯลฯ ซึ่งอาจสร้างความเสียหายอันประเมินค่ามิได้ต่อธุรกิจของท่าน
2. การติดตั้งซอฟต์แวร์ลงในฮาร์ดดิสก์ (Harddisk Loading) เช่น ทำหน้าที่เป็นผู้ติดตั้งซอฟต์แวร์ให้ โดยแนะนำให้ลูกค้าซื้อซอฟต์แวร์ละเมิดลิขสิทธิ์ โดยตนเองจะให้บริการติดตั้งเท่านั้น หรือ แนะนำให้ลูกค้ารับเครื่องเปล่าไปก่อน และส่งเจ้าหน้าที่ไปติดตั้งที่บ้านหรือที่ทำงานของลูกค้าภายหลัง
3. การปลอมแปลงสินค้า (Counterfeiting)ผู้จำหน่ายซอฟต์แวร์บางรายถึงกับผลิต CD และคู่มือปลอมจำหน่าย โดยจัดทำบรรจุภัณฑ์เหมือนกับสินค้าจริงทุกประการ เพื่อเป็นการหลอกลวงให้ผู้ซื้อเข้าใจว่าได้สินค้าของแท้
4. การละเมิดลิขสิทธิ์ Online (Internet Piracy) ลักษณะที่เกิดขึ้นมากในปัจจุบันคือการ Download ซอฟต์แวร์ผ่าน Internet โดยไม่ได้รับอนุญาตจากเจ้าของลิขสิทธิ์ ซอฟต์แวร์เหล่านี้ไม่ใช่ Shareware
5.การขายหรือใช้ลิขสิทธิ์ผิดประเภท ในบางกรณีผู้ค้าซอฟต์แวร์จำหน่ายซอฟต์แวร์ผิดประเภทให้กับลูกค้า ทำให้ผู้ซื้อตกอยู่ในความเสี่ยงทางกฎหมายโดยรู้เท่าไม่ถึงการณ์
การละเมิดลิขสิทธิ์ซอฟต์แวร์ในไทย
ไทยยังละเมิดลิขสิทธิ์ซอฟแวร์ผอ.ฝ่ายปราบปรามการละเมิดลิขสิทธิ์ประจำภูมิภาคเอเชีย ระบุประเทศไทยอยู่ในอันดับ 4 ของประเทศในภูมิภาคเอเชีย ที่ละเมิดลิขสิทธิ์ซอฟต์แวร์ ด้าน ผบก.ปศท. ประกาศเอาตำแหน่งเป็นเดิมพัน หาก 3 เดือน กวาดล้างการละเมิดลิขสิทธิ์ซอฟต์แวร์ไม่ได้ผล[10]
พล.ต.ต.วิสุทธิ์ วานิชบุตร ผู้บังคับการปราบปรามอาชญากรรมทางเศรษฐกิจและเทคโนโลยี (ปศท.) แถลงข่าวร่วมกับกลุ่มพันธมิตรซอฟต์แวร์ โดยนายดรุณ ซอร์นีย์ ผู้อำนวยการฝ่ายปราบปรามการละเมิดลิขสิทธิ์ประจำภูมิภาคเอเชีย กล่าวว่า ประเทศไทยมีการละเมิดลิขสิทธิ์ซอฟต์แวร์สูงถึงร้อยละ 80 และเป็นอันดับ 4 ในภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิก โดยอันดับ 1 คือ เวียดนาม ตามด้วยอินโดนีเซีย และจีน นายอรุณ กล่าวด้วยว่า ในเครื่องคอมพิวเตอร์คนไทย 1 เครื่อง จะมีชิ้นส่วนหรืออุปกรณ์ซอฟต์แวร์ละเมิดลิขสิทธิ์ถึงร้อยละ 80 และมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น ขณะที่อีก 3 ประเทศ กลับพบแนวโน้มที่ลดลง[11]
ตอบ
โอเพนซอร์ซ หรือ โอเพนซอร์ส [1] (open source) คือวิธีการในการออกแบบ พัฒนา และแจกจ่ายสำหรับต้นฉบับของสินค้าหรือความรู้ โดยเฉพาะซอฟต์แวร์ โดยโอเพนซอร์ซถูกพิจารณาว่าเป็นทั้งรูปแบบหนึ่งในการออกแบบ และแผนการในการดำเนินการ โดยโอเพนซอร์ซเปิดโอกาสให้บุคคลอื่นนำเอาระบบนั้นไปพัฒนาได้ต่อไป
2.ให้นักเรียนบอกซอฟต์แวร์ที่พัฒนาโดยคนไทย และให้บอกคุณสมบัติของซอฟต์แวร์ดังกล่าว
ตอบ
ไอดิโอเทคฯ พัฒนา “ซอฟต์แวร์บริหารเครือข่ายอัจฉริยะ” แก้ปัญหาอินเทอร์เน็ตความเร็วสูงในอาคารใหญ่
ปัจจุบัน อินเทอร์เน็ตนับเป็นแหล่งความรู้ที่เข้าถึงได้ง่ายและรวดเร็ว อีกทั้งเป็นช่องทางสำคัญในการติดต่อสื่อสารที่โดยเฉพาะกับภาคธุรกิจ และ “อินเทอร์เน็ตความเร็วสูง” ที่กำลังเป็นที่นิยมในขณะนี้ก็เกิดจากการพัฒนาขีดความสามารถอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้คนทุกกลุ่มสามารถเข้าถึงเทคโนโลยีสารสนเทศเหล่านั้นได้สะดวกยิ่งขึ้น
การใช้งานอินเทอร์เน็ตภายในอาคารมีความต้องการที่เพิ่มสูงขึ้น ทำให้ประสบปัญหาการแบ่งปันความเร็วในการต่อเชื่อมอินเทอร์เน็ต (Internet Speed Sharing ) ที่มีผู้ใช้งานพร้อมกันจำนวนมาก โดยมีความเร็วไม่เท่ากันและไม่สม่ำเสมอ เพราะมักมีผู้ใช้งานส่วนหนึ่งดาวน์โหลดไฟล์ที่มีขนาดใหญ่อยู่ตลอดเวลา ทำให้ความเร็วในการเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตส่วนใหญ่ต้องสูญเสียไปหรือตกไปอยู่ที่กลุ่มผู้ใช้งานกลุ่มดังกล่าว ส่งผลให้ผู้ใช้งานกลุ่มที่เหลือไม่สามารถใช้งานอินเทอร์เน็ตได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยเฉพาะในเวลาเร่งด่วน ถึงแม้ว่าทางเจ้าของอาคารหรือองค์กรจะพยายามแก้ปัญหาโดยการเช่าสัญญาณอินเทอร์เน็ตความเร็วที่สูงมากขึ้น 2 หรือ 3 เท่าแล้ว ก็ยังไม่สามารถแก้ปัญหาได้ เพราะเป็นการแก้ปัญหาที่ไม่ถูกจุด อีกทั้งยังทำให้ต้องสิ้นเปลืองค่าใช้จ่ายต่อปีเป็นมูลค่าสูงโดยไม่จำเป็นแล้ว
หรือแม้แต่การนำเข้าอุปกรณ์ฮาร์ดแวร์ (Hardware) จากต่างประเทศมาช่วยควบคุมคุณภาพการใช้อินเทอร์เน็ต ซึ่งก็สามารถแก้ปัญหาได้ แต่อุปกรณ์เหล่านั้นมีราคาแพงและรูปแบบการปรับความเร็วยังมีจำกัด ไม่เหมาะต่อการทำ Quality of Services ที่สอดคล้องกับความต้องการทางธุรกิจ ซึ่งต้องแก้ปัญหาในเรื่องของการจัดสรรทรัพยากรอย่างไม่ทั่วถึงและไม่เท่าเทียม ไม่ใช่ความเร็วในการต่อเชื่อมที่ไม่เพียงพอ
สำหรับคุณสมบัติของซอฟแวร์ที่พัฒนาขึ้นนี้ นอกจากจะช่วยลดต้นทุนในการนำเข้าอุปกรณ์ฮาร์ดแวร์จากต่างประเทศที่มีราคาแพง (เฉลี่ยประมาณหลักแสนบาท) ขณะที่ซอฟต์แวร์ที่พัฒนาขึ้นมีราคาถูกกว่า (เฉลี่ยประมาณหลักหมื่นบาท) แล้ว ยังมีคุณสมบัติการใช้งานมากกว่า อาทิ สามารถควบคุมการใช้บริการอินเทอร์เน็ตให้อยู่ในความเร็วที่คงที่สม่ำเสมอ มีระบบจัดรูปแบบการใช้งานอินเทอร์เน็ต คือ สามารถจัดรูปแบบการบริการอินเทอร์เน็ตให้กับผู้ที่ต้องการใช้ความเร็วที่สูงกว่าห้องอื่นๆ ได้ โดยไม่ไปรบกวนความเร็วการใช้อินเทอร์เน็ตของคนอื่น นอกจากนี้ ยังมีระบบการคิดราคา ระบบการออกรายงาน และระบบการตรวจสอบ หรือ Network Monitor Bandwidth ซึ่งคุณสมบัติเหล่านี้เป็นสิ่งที่ฮาร์ดแวร์ไม่มี
3.ให้นักเรียนค้าหาข้อมูล ความรู้เกี่ยวกับลิขสิทธิ์ซอฟต์แวร์ที่ได้บังคับใช้ในปัจจุบัน
ตอบ
การละเมิดลิขสิทธิ์ซอฟต์แวร์ หมายถึงการกระทำที่เกี่ยวข้องกับการคัดลอกซอฟต์แวร์คอมพิวเตอร์โดยไม่ได้รับอนุญาต โดยมีหลายประเทศที่มีกฎหมายลิขสิทธิ์ที่มีกฎหมายบังคับ แต่ระดับการบังคับแตกต่างกันไป ระบบคอมพิวเตอร์ที่เก่าแก่ที่สุดในทุกวันนี้มีอายุราว 40 ปี ในด้านลิขสิทธิ์แล้วจะไม่หมดลิขสิทธิ์ไปจนราวปี ค.ศ. 2030 ในสหรัฐอเมริกาและยุโรป
ประเภทของการละเมิดลิขสิทธิ์ซอฟต์แวร์
1. การทำสำเนาโดยผู้ใช้งาน (Enduser Copy) คือ การทำสำเนาโดยผู้ใช้งาน การทำสำเนาแจกจ่ายระหว่างผู้ใช้งานแม้ว่าจะเป็นการทำสำเนาจากซอฟต์แวร์ต้นฉบับของแท้ ก็จัดว่าเป็นการละเมิดประเภทหนึ่ง เนื่องจากมีการติดตั้งซอฟต์แวร์ หรือการใช้งานซอฟต์แวร์มากกว่าจำนวนที่ได้รับสิทธิ การกระทำเช่นนี้มิเพียงแต่เสี่ยงต่อการถูกดำเนินคดีทางกฎหมายเท่านั้น หากแต่ยังเสี่ยงต่อการแพร่ระบาดของไวรัส และความเสียหายของข้อมูล ฯลฯ ซึ่งอาจสร้างความเสียหายอันประเมินค่ามิได้ต่อธุรกิจของท่าน
2. การติดตั้งซอฟต์แวร์ลงในฮาร์ดดิสก์ (Harddisk Loading) เช่น ทำหน้าที่เป็นผู้ติดตั้งซอฟต์แวร์ให้ โดยแนะนำให้ลูกค้าซื้อซอฟต์แวร์ละเมิดลิขสิทธิ์ โดยตนเองจะให้บริการติดตั้งเท่านั้น หรือ แนะนำให้ลูกค้ารับเครื่องเปล่าไปก่อน และส่งเจ้าหน้าที่ไปติดตั้งที่บ้านหรือที่ทำงานของลูกค้าภายหลัง
3. การปลอมแปลงสินค้า (Counterfeiting)ผู้จำหน่ายซอฟต์แวร์บางรายถึงกับผลิต CD และคู่มือปลอมจำหน่าย โดยจัดทำบรรจุภัณฑ์เหมือนกับสินค้าจริงทุกประการ เพื่อเป็นการหลอกลวงให้ผู้ซื้อเข้าใจว่าได้สินค้าของแท้
4. การละเมิดลิขสิทธิ์ Online (Internet Piracy) ลักษณะที่เกิดขึ้นมากในปัจจุบันคือการ Download ซอฟต์แวร์ผ่าน Internet โดยไม่ได้รับอนุญาตจากเจ้าของลิขสิทธิ์ ซอฟต์แวร์เหล่านี้ไม่ใช่ Shareware
5.การขายหรือใช้ลิขสิทธิ์ผิดประเภท ในบางกรณีผู้ค้าซอฟต์แวร์จำหน่ายซอฟต์แวร์ผิดประเภทให้กับลูกค้า ทำให้ผู้ซื้อตกอยู่ในความเสี่ยงทางกฎหมายโดยรู้เท่าไม่ถึงการณ์
การละเมิดลิขสิทธิ์ซอฟต์แวร์ในไทย
ไทยยังละเมิดลิขสิทธิ์ซอฟแวร์ผอ.ฝ่ายปราบปรามการละเมิดลิขสิทธิ์ประจำภูมิภาคเอเชีย ระบุประเทศไทยอยู่ในอันดับ 4 ของประเทศในภูมิภาคเอเชีย ที่ละเมิดลิขสิทธิ์ซอฟต์แวร์ ด้าน ผบก.ปศท. ประกาศเอาตำแหน่งเป็นเดิมพัน หาก 3 เดือน กวาดล้างการละเมิดลิขสิทธิ์ซอฟต์แวร์ไม่ได้ผล[10]
พล.ต.ต.วิสุทธิ์ วานิชบุตร ผู้บังคับการปราบปรามอาชญากรรมทางเศรษฐกิจและเทคโนโลยี (ปศท.) แถลงข่าวร่วมกับกลุ่มพันธมิตรซอฟต์แวร์ โดยนายดรุณ ซอร์นีย์ ผู้อำนวยการฝ่ายปราบปรามการละเมิดลิขสิทธิ์ประจำภูมิภาคเอเชีย กล่าวว่า ประเทศไทยมีการละเมิดลิขสิทธิ์ซอฟต์แวร์สูงถึงร้อยละ 80 และเป็นอันดับ 4 ในภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิก โดยอันดับ 1 คือ เวียดนาม ตามด้วยอินโดนีเซีย และจีน นายอรุณ กล่าวด้วยว่า ในเครื่องคอมพิวเตอร์คนไทย 1 เครื่อง จะมีชิ้นส่วนหรืออุปกรณ์ซอฟต์แวร์ละเมิดลิขสิทธิ์ถึงร้อยละ 80 และมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น ขณะที่อีก 3 ประเทศ กลับพบแนวโน้มที่ลดลง[11]
หน่วยการเรียนรู้ที่ 7 เรื่องการจัดการข้อมูล
1. จำแนกประเภทของหน่วยข้อมูลได้
ตอบ หน่วยข้อมูลประกอบไปด้วยหน่วยที่เล็กที่สุดไปยังหน่วยที่ใหญ่ที่สุด ตามลำดับต่อไป
1. บิต ( Bit ) คือ หน่วยข้อมูลที่เล็กที่สุด เป็นเลขฐานสองมีค่าเป็น 0 และ 1
2. อักขระ ( Character ) คือ ตัวอักษร ตัวเลข สัญลักษณ์ต่างๆ แต่ละตัวจะ
เท่ากับ 1 อักขระ เช่น com#12%34 ประกอบด้วย ตัวอักษร 3 ตัว ตัวเลข
4 ตัว และ สัญลักษณ์ 2 ตัว ทั้งหมดมีค่าเท่ากับ 9 อักขระ และ1 อักขระ
มีค่าเท่ากับ 1 ไบต์
3. ไบต์ ( Byte ) คือ กลุ่มของบิต จะมีขนาด 8 บิต เท่ากับหนึ่ง 1 ไบต์
ใช้แทนอักขระหนึ่งตัว
เช่น A มีรหัสแทนข้อมูล คือ 01000001 มีค่าเท่ากับ 1ไบต์
1 มีค่ารหัสแทนข้อมูล คือ 00110001 มีค่าเท่ากับ 1 ไบต์
การจัดเก็บข้อมูลในหน่วยเก็บข้อมูลสำรองจะมีหน่วยความจุเป็น
ไบต์ ที่สูงขึ้นเป็นกิโลไบต์ (Kilobyte: KB) เมกะไบต์ (Megabyte: MB)
หรือ กิกกะไบต์ (Gigabyte: GB) เป็นต้น
4. ฟิลด์ (Fied) คือ เขตข้อมูล เกิดจากการนำอักขระที่มีความเกี่ยว
ข้องกันมาไว้รวมกัน เพื่อให้เกิดความหมาย เช่น การจัดเก็บข้อมูล นักศึกษาจะประกอบด้วยฟิลด์ของรหัสประจำตัว ชื่อ นามสกุล ระดับชั้น แผนกวิชา คณะวิชา เป็นต้น
5. เรกคอร์ด (Record) คือ จะประกอบด้วย ฟิลด์หลายๆฟิลด์ที่เกี่ยวข้องกันเป็นข้อมูลแต่ละแถว หรือ แต่ละชุด
6. ไฟล์ (File) ไฟล์ หรือ แฟ้มข้อมูลจะประกอบไปด้วย เรกคอร์ด ตั้งแต่หนึ่งเรกคอร์ดขึ้นไป ซึ่งอยูภายในตารางเดียวกัน เช่น ไฟล์ข้อมูลนักศึกษา ไฟล์ข้อมูลบุคลากร เป็นต้น
7. ฐานข้อมูล (Database) คือ เกิดจากการรวบรวมเอาแฟ้มข้อมูลหลายๆ แฟ้มที่มีความสัมพันธ์กันนำมารวมไว้ด้วยกัน
2. อธิบายประเภทของแฟ้มข้อมูลได้
ตอบ ประเภทของแฟ้มข้อมูลมีหลายประเภท แบ่งตามรูปแบบของการจัดเก็บข้อมูลประเภทต่างๆประกอบด้วยประเภทแฟ้มข้อมูลพื้นฐาน ดังนี้
1. แฟ้มข้อมูลหลัก (Master File) คือ แฟ้มข้อมูลที่จัดเก็บข้อมูลที่มีการเปลี่ยนแปลงน้อย หรือไม่มีการเปลี่ยนแปลง เช่น แฟ้มข้อมูลบุคลากร แฟ้มข้อมูลราษฎร์ แฟ้มข้อมูลสินค้า แฟ้มข้อมูลยอดขายสินค้า เป็นต้น
2. แฟ้มข้อมูลรายการเปลี่ยนแปลง (Transaction File) คือ แฟ้มข้อมูลที่มีการจัดเก็บข้อมูลตามช่วงเวลาที่กำหนดและเป็นแฟ้มข้อมูลที่มีการเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา เพื่อทำให้ข้อมูลต่างๆเหล่านั้นมีความถูกต้อง และเป็นปัจจุบัน เช่น แฟ้มข้อมูลการขายสินค้า
แฟ้มข้อมูลการฝาก-การถอนของธนาคาร เป็นต้น แฟ้มข้อมูลอาจเก็บรวบรวมข้อมูลทุกเวลาที่ทำการประมวลผล บางแฟ้มข้อมูลอาจจะรวบรวมข้อมูลทุกวัน หรือทุกสัปดาห์ หรือ ทุกๆเดือนก็ได้ เมื่อประมวลผลข้อมูลแล้ว จำนำข้อมูลต่างๆเหล่านั้นไปปรังปรุงแฟ้มข้อมูลหลักอีกครั้งหนึ่ง
3. แฟ้มรายงาน (Report File) คือ แฟ้มข้อมูลที่ใช้สำหรับเก็บข้อมูล ประเภทรายงาน ที่จัดเก็บไว้ในรูปแบบของไฟล์เอกสาร การจัดเก็บข้อมูลประเภทรายงานนั้นสามารถเรียกดูผ่านทางจอภาพได้ โดยไม่จำเป็นที่จะแสดงผลออกทางเครื่องพิมพ์แต่เพียงอย่างเดียว นอกจากนี้แฟ้มรายงานที่จัดเก็บไว้ไปประยุกต์ใช้กับงานอื่น หรือไฟล์ประเภทอื่นได้อีก เช่น สามารถนำข้อมูลนักศึกษา ในแต่ละแผนกวิชา ที่เก็บไว้ในแฟ้มข้อมูลนักศึกษา จากโปรแกรม Microsoft Access มาเป็นข้อมูลที่แสดงในรูปของกราฟเพื่อการนำเสนอและจัดเก็บไว้ในรูปของรายงานจากโปรแกรม Microsoft Access ได้
4. แฟ้มข้อมูลชั่วคราว (Temporary File) คือ แฟ้มข้อมูลที่ถูกสร้างขึ้นมาเพื่อใช้ในการทำงานที่จะไม่ทำให้เกิดผลกระทบต่อข้อมูลแฟ้มข้อมูลหลัก แต่เมื่อใดก็ตามที่ต้องการนำข้อมูลจากแฟ้มข้อมูลชั่วคราวไปปรับปรุงในแฟ้มข้อมูลหลัก สามารถทำได้โดยยืนยันการเปลี่ยนแปลงของข้อมูล แฟ้มข้อมูลชั่วคราวจะถูกยกเลิก ทำให้ไม่มีผลกระทบต่อแฟ้มข้อมูลหลักแต่อย่างใด เช่น เปิดแฟ้มข้อมูลสินค้าเป็นแฟ้มข้อมูลหลักขึ้นมา ได้ทำการแก้ไขราคาสินค้าบางประเภทโดยสร้างแฟ้มข้อมูลชั่วคราวเพื่อใช้ในการจัดการข้อมูลที่ต้องการแก้ไข ถ้าแก้ไขข้อมูลเรียบร้อยแล้ว แต่ไม่มีการยืนยันที่จะจัดเก็บข้อมูลที่ทำการแก้ไขแล้วนั้น ข้อมูลที่อยู่ในแฟ้มข้อมูลชั่วคราวก็จะถูกทำลายไปโดยไม่มีผลกระทบต่อแฟ้มข้อมูลหลัก
5. แฟ้มข้อมูลสำรอง (Backup File) คือ การทำซ้ำข้อมูลไฟล์ หรือโปรแกรมในสื่อเก็บข้อมูลชนิดอื่นๆเพื่อนำกลับมาใช้ได้อีก การจัดเก็บแฟ้มข้อมูลที่มีความสำคัญ ผู้ใช้มักจะจัดเก็บแฟ้มข้อมูลดังกล่าวในรูปแบบของแฟ้มข้อมูลสำรอง เป็นการป้องกันความเสี่ยงที่จะเกิดขึ้นกับข้อมูล เมื่อข้อมูลเหล่านั้นเสียหายหรือสูญหาย สามรถนำข้อมูลที่เก็บไว้เป็นข้อมูลสำรองมาใช้แทนได้ เช่น เจ้าหน้าที่วานทะเบียนได้จัดเก็บแฟ้มข้อมูลนักศึกษาไว้ในหน่วยเก็บข้อมูลสำรองภายในเครื่องคอมพิวเตอร์ คือ ฮาร์ดดิสก์ และเจ้าหน้าที่ก็ได้จัดเก็บแฟ้มข้อมูลนักศึกษาไว้เป็นแฟ้มข้อมูลสำรองในสื่อเก็บข้อมูลสำรองชนิดอื่นๆ เช่น แผ่นซีดี ฮาร์ดดิสก์ สำหรับพกพา ต่อมาเครื่องคอมพิวเตอร์ที่ใช้เก็บแฟ้มข้อมูลนักศึกษานั้นเสีย เนื่องจากไวรัสคอมพิวเตอร์ ทำให้ต้องทำการฟอร์แมตฮาร์ดดิสก์ใหม่ ดังนั้นข้อมูลในฮาร์ดดิสก์ของเครื่องคอมพิวเตอร์จะถูกลบทิ้งทั้งหมด แต่เจ้าหน้าที่งานทะเบียนสามารถนำแฟ้มข้อมูลนักศึกษาที่เก็บไว้เป็นแฟ้มข้อมูลสำรองมาใช้แทนได้จึงไม่ทำให้การทำงานหยุดชะงักเนื่องจากสูญเสียข้อมูล และไม่ต้องเสียเวลาในการบันทึกข้อมูลของนักศึกษาใหม่อีกครั้ง
3. อธิบายลักษณะการประมวลผลข้อมูลได้
ตอบ ลักษณะการประมวลผลข้อมูล สามารถแบ่งออกเป็น 2 ประเภท คือ การประมวลผลแบบกลุ่ม และการประมวลผลแบบทันที การเลือกลักษณะการประมวลผลข้อมูลแบบใดนั้นจะขึ้นอยู่กับความต้องการของสารสนเทศในงานแต่ละประเภท
1. การประมวลผลแบบกลุ่ม (Batch Processing)
การประมวลผลแบบกลุ่ม เป็นวิธีการประมวลผลซึ่งจะกำหนดช่วงเวลาในการเก็บรวบรวมข้อมูล เช่น 1 สัปดาห์ 1 เดือน หรือ 1 ปี เป็นต้น เมื่อได้รวบรวมข้อมูลตามกำหนดเวลาแล้วจึงนำข้อมูลเหล่านี้ไปประมวลผลรวมกัน โดยจะไม่คำนึงถึงปริมาณของข้อมูล เช่น การคำนวณภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา จะต้องรวบรวมข้อมูลของรายได้แต่ละบุคคลในระยะเวลา 1 ปี ก่อนจึงนำข้อมูลนี้ไปคำนวณหาอัตราภาษีที่ต้องชำระ การคำนวณหารายได้สุทธิของบุคลากรภายในองค์กรจะทำการประมวลทุกๆเดือน เป็นต้น
2. การประมวลผลแบบทันที (Real-time Processing)
การประมวลผลแบบทันที เป็นวิธีการประมวลผลข้อมูลที่ต้องการหาผลลัพธ์ในทันทีและเมื่อมีการจัดทำรายการเข้ามาภายในระบบ วิธีการประมวลผลแบบทันทีนี้ จะช่วยปรับปรุงข้อมูลในระบบให้เป็นปัจจุบันตลอดเวลา จะเห็นได้ชัดเจนจากระบบการฝากและถอนเงินของลูกค้าใน ธนาคาร เมื่อนำเงินเข้าไปฝากยอดในบัญชีธนาคารต้องมียอดเงินเพิ่มขึ้น ตาม จำนวนเงินที่ฝากเพิ่มทันที และเมื่อใดที่ลูกค้าทำการถอนเงิน ก็จะต้องแสดงยอดเงินคงเหลือที่ลดลงจากบัญชีธนาคาร เช่นกัน และเมื่อสิ้นสุดการทำงานในแต่ละวันพนักงานธนาคารจะต้องทำการตรวจสอบยอดเงินรับ และยอดเงินจ่ายให้ตรงกับรายการที่มีลูกค้าเข้ามาใช้บริการทั้งหมด จะเป็นลักษณะของการประมวลผลแบบกลุ่มอีกครั้งหนึ่ง
ในปัจจุบันได้นำระบบคอมพิวเตอร์เข้ามาช่วยในการประมวลผล ในระบบงานขายสินค้าสำหรับห้างสรรพสินค้าหรือร้านค้าทั่วไปอย่างแพร่หลาย ในระบบงานขายสินค้าพนักงานขายมีหน้าที่ประมวลผลรายการซื้อสินค้าให้แก่ราคาสินค้า และเมื่อขายสินค้าชนิดใดก็ตาม ข้อมูลการขายสินค้าก็จะนำไปลดจำนวนของสินค้าที่อยู่ภายในระบบสินค้าคงคลัง เป็นลักษณะการประมวลผลแบบทันที และเมื่อสิ้นสุดการขายในแต่ละวันจะนำข้อมูลการขายสินค้าไปจัดทำเป็นข้อมูลรายรับหรือจัดทำรายงานการขายสินค้าในแต่ละวัน และสามารถนำข้อมูลไปประมวลผลเป็นรายได้แต่ละเดือนได้อีกด้วย จะเป็นลักษณะของการประมวลผลแบบกลุ่ม
4. จำแนกความแตกต่างของโครงสร้างข้อมูลแต่ละประเภทได้
ตอบ โดยทั่วไปการจัดเก็บแฟ้มข้อมูลจะถูกจัดเก็บไว้ภายในหน่วยเก็บข้อมูลสำรอง เช่น ฮาร์ดดิสก์ ฟลอปปีดิสก์ เป็นต้น เนื่องจากหน่วยเก็บข้อมูล สามารถเก็บแฟ้มข้อมูลต่างๆ เหล่านั้นไว้ได้อย่างถาวร เพราะข้อมูลยังคงอยู่ถึงแม้ว่าจะปิดเครื่องไปแล้วก็ตาม และเมื่อต้องการใช้งานสามารถเรียกมาใช้งานได้ทันที การจัดโครงสร้างแฟ้มข้อมูลมีจุดประสงค์เพื่อนำไปใช้สำหรับการจัดเก็บข้อมูลและการเข้าถึงข้อมูลได้อย่างถูกต้อง รวดเร็ว และเหมาะสม กับปริมาณข้อมูลหรือสื่อที่ใช้ในการเก็บข้อมูล โดยอาศัยคีย์ฟิลด์เป็นหลักในการเข้าถึงข้อมูล การจัดโครงสร้างแฟ้มข้อมูลแบ่งออกได้เป็น 3 ลักษณะ คือ
1. โครงสร้างแฟ้มข้อมูลแบบเรียงลำดับ เป็นรูปแบบโครงสร้างพื้นฐานที่สามารถใช้งานง่ายที่สุด เป็นการบันทึกข้อมูลจะถูกบันทึกแบบเรียงลำดับอย่างต่อเนื่อง
2. โครงสร้างแฟ้มข้อมูลแบบสุ่ม เป็นรูปแบบโครงสร้างที่สามารถเข้าถึงข้อมูลได้โดยตรง เมื่อต้องการค้นหาข้อมูลเรกคอร์ดใดก็ตาม สามารถกระโดดไปยังตำแหน่งของข้อมูลเรกคอร์ดนั้นได้ทันทีโดยไม่ต้องเสียเวลาที่ต้องเริ่มอ่านข้อมูลตั้งแต่ตำแหน่งแรก โครงสร้างนี้จะสามารถเข้าถึงข้อมูลได้รวดเร็วกว่าโครงสร้างแฟ้มข้อมูลแบบเรียงลำดับ
3. โครงสร้างแฟ้มข้อมูลแบบลำดับดรรชนี เป็นโครงสร้างแฟ้มข้อมูลที่รวมเอาความสามารถของโครงสร้างแฟ้มข้อมูลแบบเรียงลำดับ กับโครงสร้างแบบแบบสุ่มเข้าไว้ด้วยกัน
5. จำแนกความแตกต่างระหว่างการประมวลผลแบบแฟ้มข้อมูลกับระบบฐานข้อมูลได้
ตอบ การประมวลผลแบบแฟ้มข้อมูล มีลักษณะการจัดเก็บข้อมูลแบบกระจายในแต่ละหน่วยงานที่นำคอมพิวเตอร์มาช่วยสำหรับประมวลผลการทำงานด้านต่างๆ ก่อให้เกิดแฟ้มข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับงานและแต่ละฝ่ายงานอย่างหลากหลายแฟ้มข้อมูล
ระบบฐานข้อมูล เป็นการจัดเก็บข้อมูลแบบศูนย์กลางเพื่อแก้ปัญหาที่เกิดขึ้นสำหรับการประมวลผลแบบแฟ้มข้อมูล
ตอบ หน่วยข้อมูลประกอบไปด้วยหน่วยที่เล็กที่สุดไปยังหน่วยที่ใหญ่ที่สุด ตามลำดับต่อไป
1. บิต ( Bit ) คือ หน่วยข้อมูลที่เล็กที่สุด เป็นเลขฐานสองมีค่าเป็น 0 และ 1
2. อักขระ ( Character ) คือ ตัวอักษร ตัวเลข สัญลักษณ์ต่างๆ แต่ละตัวจะ
เท่ากับ 1 อักขระ เช่น com#12%34 ประกอบด้วย ตัวอักษร 3 ตัว ตัวเลข
4 ตัว และ สัญลักษณ์ 2 ตัว ทั้งหมดมีค่าเท่ากับ 9 อักขระ และ1 อักขระ
มีค่าเท่ากับ 1 ไบต์
3. ไบต์ ( Byte ) คือ กลุ่มของบิต จะมีขนาด 8 บิต เท่ากับหนึ่ง 1 ไบต์
ใช้แทนอักขระหนึ่งตัว
เช่น A มีรหัสแทนข้อมูล คือ 01000001 มีค่าเท่ากับ 1ไบต์
1 มีค่ารหัสแทนข้อมูล คือ 00110001 มีค่าเท่ากับ 1 ไบต์
การจัดเก็บข้อมูลในหน่วยเก็บข้อมูลสำรองจะมีหน่วยความจุเป็น
ไบต์ ที่สูงขึ้นเป็นกิโลไบต์ (Kilobyte: KB) เมกะไบต์ (Megabyte: MB)
หรือ กิกกะไบต์ (Gigabyte: GB) เป็นต้น
4. ฟิลด์ (Fied) คือ เขตข้อมูล เกิดจากการนำอักขระที่มีความเกี่ยว
ข้องกันมาไว้รวมกัน เพื่อให้เกิดความหมาย เช่น การจัดเก็บข้อมูล นักศึกษาจะประกอบด้วยฟิลด์ของรหัสประจำตัว ชื่อ นามสกุล ระดับชั้น แผนกวิชา คณะวิชา เป็นต้น
5. เรกคอร์ด (Record) คือ จะประกอบด้วย ฟิลด์หลายๆฟิลด์ที่เกี่ยวข้องกันเป็นข้อมูลแต่ละแถว หรือ แต่ละชุด
6. ไฟล์ (File) ไฟล์ หรือ แฟ้มข้อมูลจะประกอบไปด้วย เรกคอร์ด ตั้งแต่หนึ่งเรกคอร์ดขึ้นไป ซึ่งอยูภายในตารางเดียวกัน เช่น ไฟล์ข้อมูลนักศึกษา ไฟล์ข้อมูลบุคลากร เป็นต้น
7. ฐานข้อมูล (Database) คือ เกิดจากการรวบรวมเอาแฟ้มข้อมูลหลายๆ แฟ้มที่มีความสัมพันธ์กันนำมารวมไว้ด้วยกัน
2. อธิบายประเภทของแฟ้มข้อมูลได้
ตอบ ประเภทของแฟ้มข้อมูลมีหลายประเภท แบ่งตามรูปแบบของการจัดเก็บข้อมูลประเภทต่างๆประกอบด้วยประเภทแฟ้มข้อมูลพื้นฐาน ดังนี้
1. แฟ้มข้อมูลหลัก (Master File) คือ แฟ้มข้อมูลที่จัดเก็บข้อมูลที่มีการเปลี่ยนแปลงน้อย หรือไม่มีการเปลี่ยนแปลง เช่น แฟ้มข้อมูลบุคลากร แฟ้มข้อมูลราษฎร์ แฟ้มข้อมูลสินค้า แฟ้มข้อมูลยอดขายสินค้า เป็นต้น
2. แฟ้มข้อมูลรายการเปลี่ยนแปลง (Transaction File) คือ แฟ้มข้อมูลที่มีการจัดเก็บข้อมูลตามช่วงเวลาที่กำหนดและเป็นแฟ้มข้อมูลที่มีการเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา เพื่อทำให้ข้อมูลต่างๆเหล่านั้นมีความถูกต้อง และเป็นปัจจุบัน เช่น แฟ้มข้อมูลการขายสินค้า
แฟ้มข้อมูลการฝาก-การถอนของธนาคาร เป็นต้น แฟ้มข้อมูลอาจเก็บรวบรวมข้อมูลทุกเวลาที่ทำการประมวลผล บางแฟ้มข้อมูลอาจจะรวบรวมข้อมูลทุกวัน หรือทุกสัปดาห์ หรือ ทุกๆเดือนก็ได้ เมื่อประมวลผลข้อมูลแล้ว จำนำข้อมูลต่างๆเหล่านั้นไปปรังปรุงแฟ้มข้อมูลหลักอีกครั้งหนึ่ง
3. แฟ้มรายงาน (Report File) คือ แฟ้มข้อมูลที่ใช้สำหรับเก็บข้อมูล ประเภทรายงาน ที่จัดเก็บไว้ในรูปแบบของไฟล์เอกสาร การจัดเก็บข้อมูลประเภทรายงานนั้นสามารถเรียกดูผ่านทางจอภาพได้ โดยไม่จำเป็นที่จะแสดงผลออกทางเครื่องพิมพ์แต่เพียงอย่างเดียว นอกจากนี้แฟ้มรายงานที่จัดเก็บไว้ไปประยุกต์ใช้กับงานอื่น หรือไฟล์ประเภทอื่นได้อีก เช่น สามารถนำข้อมูลนักศึกษา ในแต่ละแผนกวิชา ที่เก็บไว้ในแฟ้มข้อมูลนักศึกษา จากโปรแกรม Microsoft Access มาเป็นข้อมูลที่แสดงในรูปของกราฟเพื่อการนำเสนอและจัดเก็บไว้ในรูปของรายงานจากโปรแกรม Microsoft Access ได้
4. แฟ้มข้อมูลชั่วคราว (Temporary File) คือ แฟ้มข้อมูลที่ถูกสร้างขึ้นมาเพื่อใช้ในการทำงานที่จะไม่ทำให้เกิดผลกระทบต่อข้อมูลแฟ้มข้อมูลหลัก แต่เมื่อใดก็ตามที่ต้องการนำข้อมูลจากแฟ้มข้อมูลชั่วคราวไปปรับปรุงในแฟ้มข้อมูลหลัก สามารถทำได้โดยยืนยันการเปลี่ยนแปลงของข้อมูล แฟ้มข้อมูลชั่วคราวจะถูกยกเลิก ทำให้ไม่มีผลกระทบต่อแฟ้มข้อมูลหลักแต่อย่างใด เช่น เปิดแฟ้มข้อมูลสินค้าเป็นแฟ้มข้อมูลหลักขึ้นมา ได้ทำการแก้ไขราคาสินค้าบางประเภทโดยสร้างแฟ้มข้อมูลชั่วคราวเพื่อใช้ในการจัดการข้อมูลที่ต้องการแก้ไข ถ้าแก้ไขข้อมูลเรียบร้อยแล้ว แต่ไม่มีการยืนยันที่จะจัดเก็บข้อมูลที่ทำการแก้ไขแล้วนั้น ข้อมูลที่อยู่ในแฟ้มข้อมูลชั่วคราวก็จะถูกทำลายไปโดยไม่มีผลกระทบต่อแฟ้มข้อมูลหลัก
5. แฟ้มข้อมูลสำรอง (Backup File) คือ การทำซ้ำข้อมูลไฟล์ หรือโปรแกรมในสื่อเก็บข้อมูลชนิดอื่นๆเพื่อนำกลับมาใช้ได้อีก การจัดเก็บแฟ้มข้อมูลที่มีความสำคัญ ผู้ใช้มักจะจัดเก็บแฟ้มข้อมูลดังกล่าวในรูปแบบของแฟ้มข้อมูลสำรอง เป็นการป้องกันความเสี่ยงที่จะเกิดขึ้นกับข้อมูล เมื่อข้อมูลเหล่านั้นเสียหายหรือสูญหาย สามรถนำข้อมูลที่เก็บไว้เป็นข้อมูลสำรองมาใช้แทนได้ เช่น เจ้าหน้าที่วานทะเบียนได้จัดเก็บแฟ้มข้อมูลนักศึกษาไว้ในหน่วยเก็บข้อมูลสำรองภายในเครื่องคอมพิวเตอร์ คือ ฮาร์ดดิสก์ และเจ้าหน้าที่ก็ได้จัดเก็บแฟ้มข้อมูลนักศึกษาไว้เป็นแฟ้มข้อมูลสำรองในสื่อเก็บข้อมูลสำรองชนิดอื่นๆ เช่น แผ่นซีดี ฮาร์ดดิสก์ สำหรับพกพา ต่อมาเครื่องคอมพิวเตอร์ที่ใช้เก็บแฟ้มข้อมูลนักศึกษานั้นเสีย เนื่องจากไวรัสคอมพิวเตอร์ ทำให้ต้องทำการฟอร์แมตฮาร์ดดิสก์ใหม่ ดังนั้นข้อมูลในฮาร์ดดิสก์ของเครื่องคอมพิวเตอร์จะถูกลบทิ้งทั้งหมด แต่เจ้าหน้าที่งานทะเบียนสามารถนำแฟ้มข้อมูลนักศึกษาที่เก็บไว้เป็นแฟ้มข้อมูลสำรองมาใช้แทนได้จึงไม่ทำให้การทำงานหยุดชะงักเนื่องจากสูญเสียข้อมูล และไม่ต้องเสียเวลาในการบันทึกข้อมูลของนักศึกษาใหม่อีกครั้ง
3. อธิบายลักษณะการประมวลผลข้อมูลได้
ตอบ ลักษณะการประมวลผลข้อมูล สามารถแบ่งออกเป็น 2 ประเภท คือ การประมวลผลแบบกลุ่ม และการประมวลผลแบบทันที การเลือกลักษณะการประมวลผลข้อมูลแบบใดนั้นจะขึ้นอยู่กับความต้องการของสารสนเทศในงานแต่ละประเภท
1. การประมวลผลแบบกลุ่ม (Batch Processing)
การประมวลผลแบบกลุ่ม เป็นวิธีการประมวลผลซึ่งจะกำหนดช่วงเวลาในการเก็บรวบรวมข้อมูล เช่น 1 สัปดาห์ 1 เดือน หรือ 1 ปี เป็นต้น เมื่อได้รวบรวมข้อมูลตามกำหนดเวลาแล้วจึงนำข้อมูลเหล่านี้ไปประมวลผลรวมกัน โดยจะไม่คำนึงถึงปริมาณของข้อมูล เช่น การคำนวณภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา จะต้องรวบรวมข้อมูลของรายได้แต่ละบุคคลในระยะเวลา 1 ปี ก่อนจึงนำข้อมูลนี้ไปคำนวณหาอัตราภาษีที่ต้องชำระ การคำนวณหารายได้สุทธิของบุคลากรภายในองค์กรจะทำการประมวลทุกๆเดือน เป็นต้น
2. การประมวลผลแบบทันที (Real-time Processing)
การประมวลผลแบบทันที เป็นวิธีการประมวลผลข้อมูลที่ต้องการหาผลลัพธ์ในทันทีและเมื่อมีการจัดทำรายการเข้ามาภายในระบบ วิธีการประมวลผลแบบทันทีนี้ จะช่วยปรับปรุงข้อมูลในระบบให้เป็นปัจจุบันตลอดเวลา จะเห็นได้ชัดเจนจากระบบการฝากและถอนเงินของลูกค้าใน ธนาคาร เมื่อนำเงินเข้าไปฝากยอดในบัญชีธนาคารต้องมียอดเงินเพิ่มขึ้น ตาม จำนวนเงินที่ฝากเพิ่มทันที และเมื่อใดที่ลูกค้าทำการถอนเงิน ก็จะต้องแสดงยอดเงินคงเหลือที่ลดลงจากบัญชีธนาคาร เช่นกัน และเมื่อสิ้นสุดการทำงานในแต่ละวันพนักงานธนาคารจะต้องทำการตรวจสอบยอดเงินรับ และยอดเงินจ่ายให้ตรงกับรายการที่มีลูกค้าเข้ามาใช้บริการทั้งหมด จะเป็นลักษณะของการประมวลผลแบบกลุ่มอีกครั้งหนึ่ง
ในปัจจุบันได้นำระบบคอมพิวเตอร์เข้ามาช่วยในการประมวลผล ในระบบงานขายสินค้าสำหรับห้างสรรพสินค้าหรือร้านค้าทั่วไปอย่างแพร่หลาย ในระบบงานขายสินค้าพนักงานขายมีหน้าที่ประมวลผลรายการซื้อสินค้าให้แก่ราคาสินค้า และเมื่อขายสินค้าชนิดใดก็ตาม ข้อมูลการขายสินค้าก็จะนำไปลดจำนวนของสินค้าที่อยู่ภายในระบบสินค้าคงคลัง เป็นลักษณะการประมวลผลแบบทันที และเมื่อสิ้นสุดการขายในแต่ละวันจะนำข้อมูลการขายสินค้าไปจัดทำเป็นข้อมูลรายรับหรือจัดทำรายงานการขายสินค้าในแต่ละวัน และสามารถนำข้อมูลไปประมวลผลเป็นรายได้แต่ละเดือนได้อีกด้วย จะเป็นลักษณะของการประมวลผลแบบกลุ่ม
4. จำแนกความแตกต่างของโครงสร้างข้อมูลแต่ละประเภทได้
ตอบ โดยทั่วไปการจัดเก็บแฟ้มข้อมูลจะถูกจัดเก็บไว้ภายในหน่วยเก็บข้อมูลสำรอง เช่น ฮาร์ดดิสก์ ฟลอปปีดิสก์ เป็นต้น เนื่องจากหน่วยเก็บข้อมูล สามารถเก็บแฟ้มข้อมูลต่างๆ เหล่านั้นไว้ได้อย่างถาวร เพราะข้อมูลยังคงอยู่ถึงแม้ว่าจะปิดเครื่องไปแล้วก็ตาม และเมื่อต้องการใช้งานสามารถเรียกมาใช้งานได้ทันที การจัดโครงสร้างแฟ้มข้อมูลมีจุดประสงค์เพื่อนำไปใช้สำหรับการจัดเก็บข้อมูลและการเข้าถึงข้อมูลได้อย่างถูกต้อง รวดเร็ว และเหมาะสม กับปริมาณข้อมูลหรือสื่อที่ใช้ในการเก็บข้อมูล โดยอาศัยคีย์ฟิลด์เป็นหลักในการเข้าถึงข้อมูล การจัดโครงสร้างแฟ้มข้อมูลแบ่งออกได้เป็น 3 ลักษณะ คือ
1. โครงสร้างแฟ้มข้อมูลแบบเรียงลำดับ เป็นรูปแบบโครงสร้างพื้นฐานที่สามารถใช้งานง่ายที่สุด เป็นการบันทึกข้อมูลจะถูกบันทึกแบบเรียงลำดับอย่างต่อเนื่อง
2. โครงสร้างแฟ้มข้อมูลแบบสุ่ม เป็นรูปแบบโครงสร้างที่สามารถเข้าถึงข้อมูลได้โดยตรง เมื่อต้องการค้นหาข้อมูลเรกคอร์ดใดก็ตาม สามารถกระโดดไปยังตำแหน่งของข้อมูลเรกคอร์ดนั้นได้ทันทีโดยไม่ต้องเสียเวลาที่ต้องเริ่มอ่านข้อมูลตั้งแต่ตำแหน่งแรก โครงสร้างนี้จะสามารถเข้าถึงข้อมูลได้รวดเร็วกว่าโครงสร้างแฟ้มข้อมูลแบบเรียงลำดับ
3. โครงสร้างแฟ้มข้อมูลแบบลำดับดรรชนี เป็นโครงสร้างแฟ้มข้อมูลที่รวมเอาความสามารถของโครงสร้างแฟ้มข้อมูลแบบเรียงลำดับ กับโครงสร้างแบบแบบสุ่มเข้าไว้ด้วยกัน
5. จำแนกความแตกต่างระหว่างการประมวลผลแบบแฟ้มข้อมูลกับระบบฐานข้อมูลได้
ตอบ การประมวลผลแบบแฟ้มข้อมูล มีลักษณะการจัดเก็บข้อมูลแบบกระจายในแต่ละหน่วยงานที่นำคอมพิวเตอร์มาช่วยสำหรับประมวลผลการทำงานด้านต่างๆ ก่อให้เกิดแฟ้มข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับงานและแต่ละฝ่ายงานอย่างหลากหลายแฟ้มข้อมูล
ระบบฐานข้อมูล เป็นการจัดเก็บข้อมูลแบบศูนย์กลางเพื่อแก้ปัญหาที่เกิดขึ้นสำหรับการประมวลผลแบบแฟ้มข้อมูล
กิจกรรมส่งเสริมการเรียนรู้ หน่วยที่ 6
1. ในระบบปฏิบัติการ Windows 7 มีระบบ License ทั้งในแบบ FPP License และ OEM License ซึ่งทั้ง 2 แบบนี้มีความแตกต่างกันอย่างไร ให้นักเรียนนำเสนอข้อมูลความแตกต่างระหว่าง License ทั้งสองรูปแบบนี้ และถ้านักเรียนซื้อเครื่องคอมพิวเตอร์สำหรับการใช้งานภายในบ้านนักเรียนจะต้องใช้รูปแบบของ License แบบใด
ตอบ
FPP License หรือ Full Package Product License จะมาในรูปแบบของกล่องซึ่งเหมาะ สำหรับผู้ใช้ซอฟต์แวร์ส่วนบุคคล ใช้ตามบ้านทั่วๆ ไป หรือนิสิตนักศึกษาเป็นหลัก โดยอาจจะต้องมีความรู้ในการติดตั้งเองสักหน่อย เช่นต้องหาแผ่น driver ต่างๆ ของเครื่องเราเอง แต่ก็มีความคล่องตัวในการย้ายเครื่องได้มากกว่า
OEM License หรือ Original Equipment Manufacturer จะเหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการซื้อเครื่องใหม่ องค์กร หรือห้างร้านที่ไม่ต้องการยุ่งยากกับการใช้ซอฟต์แวร์ที่ไม่ต้องการยุ่งยากใน การติดตั้งและหา driver ต่างๆ โดยจะติดตั้งมาให้พร้อมใช้งานทันที
ถ้าซื้อเครื่องคอมพิวเตอร์สำหรับการใช้งานภายในบ้านจะต้องใช้รูปแบบ FPP License
ตอบ
FPP License หรือ Full Package Product License จะมาในรูปแบบของกล่องซึ่งเหมาะ สำหรับผู้ใช้ซอฟต์แวร์ส่วนบุคคล ใช้ตามบ้านทั่วๆ ไป หรือนิสิตนักศึกษาเป็นหลัก โดยอาจจะต้องมีความรู้ในการติดตั้งเองสักหน่อย เช่นต้องหาแผ่น driver ต่างๆ ของเครื่องเราเอง แต่ก็มีความคล่องตัวในการย้ายเครื่องได้มากกว่า
OEM License หรือ Original Equipment Manufacturer จะเหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการซื้อเครื่องใหม่ องค์กร หรือห้างร้านที่ไม่ต้องการยุ่งยากกับการใช้ซอฟต์แวร์ที่ไม่ต้องการยุ่งยากใน การติดตั้งและหา driver ต่างๆ โดยจะติดตั้งมาให้พร้อมใช้งานทันที
ถ้าซื้อเครื่องคอมพิวเตอร์สำหรับการใช้งานภายในบ้านจะต้องใช้รูปแบบ FPP License
หน่วยการเรียนรู้ที่ 6 ระบบปฏิบัติการ
1. บอกความหมายและหน้าที่ของระบบปฏิบัติการได้
ตอบ ระบบปฏิบัติการ คือ โปรแกรมที่ทำหน้าที่เป็นสื่อกลางในการประสานงาน
ระหว่างการทำงานของซอร์ฟแวร์ต่างๆ และอุปกรณ์คอมพิวเตอร์ โดยมีวัตถุประ
สงค์เพื่อให้ผู้ใช้สามารถปฏิบัติงานบนเครื่องคอมพิวเตอร์ได้
หน้าที่หลักของระบบปฏิบัติการ ประกอบด้วย 3 หน้าที่หลัก ได้แก่ การติดต่อกับผู้ใช้ การควบคุมอุปกรณ์และการทำงานต่างๆของระบบคอมพิวเตอร์ และการจัด
สรรทรัพยากรภายในระบบ
การติดต่อกับผู้ใช้ (User Interface)
การบูตเครื่อง เป็นกระบวนการทำงานแรก เพื่อสั่งให้เครื่องคอมพิวเตอร์เริ่มต้นการทำงานเป็นขั้นตอนการโหลดโปรแกรมระบบปฏิบัติการไปเก็บไว้ในหน่วยความจำแรม ดังนั้นโปรแกรม หรือชุดคำสั่งแรกที่จะถูกติดตั้งลงไปในฮาร์ดดิสก์ของเครื่องคอมพิวเตอร์ คือ โปรแกรมระบบปฏิบัติการ มิเช่นนั้นเครื่องคอมพิวเตอร์จะไม่สามารถที่จะเปิดขึ้นาใช้งานได้ การบูตเครื่องประกอบด้วย 2 สถานะ
1.1 Cold Boot คือ การเปิดเครื่องคอมพิวเตอร์มาใช้งานในขณะที่เครื่องคอมพิวเตอร์นั้นยังปิดอยู่ เป็นการเปิดคอมพิวเตอร์เพื่อเริ่มต้นใช้งาน
1.2 Warm Boot คือ การเปิดเครื่องคอมพิวเตอร์มาใช้งานในขณะที่เครื่องคอมพิวเตอร์นั้นเปิดใช้งานอยู่แล้ว
การควบคุมอุปกรณ์และการทำงานต่างๆของระบบคอมพิวเตอร์
เครื่องคอมพิวเตอร์จะมีอุปกรณ์เชื่อมต่ออีกหลายชนิดที่จะนำมาใช้ร่วมกัน เช่น เมาส์ คีย์บอร์ด เครื่องพิมพ์ เครื่องสแกนเนอร์ จอภาพ เป็นต้น อุปกรณ์เหล่านี้จะมีความแตกต่างกันดังนั้นระบบปฏิบัติการมีหน้าที่ควบคุมการทำงานของโปรแกรม และอุปกรณ์ต่างๆช่วยจัดการให้ผู้ใช้สามารถใช้งานอุปกรณ์เหล่านี้ได้ โดยผู้ใช้ส่งคำสั่งการทำงานไปยังอุปกรณ์ต่างๆผ่านทางโปรแกรมที่ทำงานติดต่อระหว่างระบบปฏิบัติการกับโปรแกรมของผู้ใช้
การจัดสรรทรัพยากรภายในระบบ
ระบบปฏิบัติการช่วยจัดสรรพยากรของระบบซึ่งมีอยู่อย่างจำกัดให้สามารถทำงานหลายๆงานได้ ทรัพยากรหลักๆได้แก่ ทรัพยากรด้านโพรเซสเซอร์ (CPU) ด้านหน่วยความจำ (Memory) ด้านอุปกรณ์นำเข้า/แสดงผล(Input/Output Devices) และข้อมูล (Data)
2. จำแนกประเภทของระบบปฏิบัติการได้
ตอบ ระบบปฏิบัติการ แบ่งออกเป็น 3ประเภท คือ
2.1 ระบบปฏิบัติการแบบเดี่ยว (Stand-alone Operating System)
ระบบปฏิบัติการแบบเดี่ยว เป็นระบบปฏิบัติการที่ใช้กับเครื่องคอมพิวเตอร์ที่ให้บริการ
แก่ผู้ใช้เพียงคนเดียว เช่น การใช้เครื่องคอมพิวเตอร์ภายในบ้าน หรือคอมพิวเตอร์ภายในสำนักงาน ในการการพิมพ์เอกสาร การดูหนัง ฟังเพลง หรือการนำไปเชื่อมต่อระบบอินเตอร์เน็ต เป็นต้น ระบบปฏิบัติการที่นิยมใช้ เช่น DOS(Disk Operating System)Windows Vista XP,Windows Vista เป็นต้น
2.2 ระบบปฏิบัติการแบบเครือข่าย (Network Operating System)
ระบบปฏิบัติการแบบเครือข่าย เป็นระบบปฏิบัติการที่รองรับการทำงานของระบบเครือข่ายคอมพิวเตอร์ มีรูปแบบการทำงานแบบ Multi-user ใช้สำหรับการปฏิบัติงานภายในองค์กร หรือ หน่วยงานทั่วๆไปโดยการติดตั้งระบบปฏิบัติการชนิดนี้จะใช้สำหรับระบบเครือข่ายแบบไคลเอนท์เซิร์ฟเวอร์ (Client/server) ติดตั้งระบบปฏิบัติการไว้ที่เครื่องเซิร์ฟเวอร์ (Server) เพื่อทำหน้าที่เป็นผู้ให้บริการข้อมูลส่งข้อมูลไปยังผู้ใช้แต่ละคนภายในระบบ ระบบปฏิบัติการที่นิยมใช้ เช่น Unix Linux Windows Server Solaris เป็นต้น
2.3 ระบบปฏิบัติการแบบฝัง (Embeded Operating System)
ระบบการปฏิบัติการแบบฝัง เป็นระบบปฏิบัติการที่ใช้ในคอมพิวเตอร์ ชนิดพกพาทั่วๆไป เช่น Palm , Pocket PC เป็นต้น อุปกรณ์คอมพิวเตอร์พกพาปัจจุบันเป็นที่นิยมอย่างแพร่หลาย เนื่องจากสามารถนำมาใช้เป็นอุปกรณ์สื่อสาร บันทึกข้อมูล ดูหนัง ฟังเพลง และเชื่อมต่ออินเตอร์เน็ตได้อีกด้วย ระบบปฏิบัติการที่นิยมใช้ เช่น Pocket PC Palm OS , Symbian OS เป็นต้น
3. อธิบายองค์ประกอบของระบบปฏิบัติการได้
ตอบ ภายในระบบปฏิบัติการมีองค์ประกอบที่สำคัญได้แก่ การจัดไฟล์ การจัดการหน่วยความจำ การจัดการอุปกรณ์นำเข้าแสดงผลข้อมูล การจัดการกับหน่วยประมวลผลกลาง และการจัดการความปลอดภัยของระบบ เป็นต้น
3.1 การจัดการไฟล์ (File Managemrent )
การจัดเก็บข้อมูลลงในสื่อบันทึกข้อมูลชนิดต่างๆ เช่น ฟลอบปีดิสก์ ฮาร์ดดิสก์ หน่วยความจำแฟลช เป็นต้น การจัดเก็บข้อมูลใดๆ จะต้องระบุชื่อไฟล์ (File Name) และส่วนขยาย (Extensions) เพื่อความสะดวกในการเรียกใช้ข้อมูล เป็นการแบ่งแยกชนิดของไฟล์ข้อมูล
ชื่อไฟล์ (File Name) ในยุคแรกๆนั้นจะใช้ระบบปฏิบัติการประเภทคอม
มานด์ไลน์ เช่น ระบบปฏิบัติการ DOS การตั้งชื่อไฟล์จะสามารถตั้งได้ไม่เกิน
8 อักขระและตัวอักษรที่ใช้ในการตั้งชื่อจะใช้เฉพาะตัวอักษรภาษาอังกฤษเท่านั้น
แต่ในปัจจุบันสามารถตั้งชื่อไฟล์มากถึง 256 อักขระ สามรถใช้ได้ทั้งภาษาอังกฤษ
และภาษไทย นิยมตั้งชื่อโดยไม่ให้มีช่องว่าง แต่จะใช้สัญลักษณ์ต่างๆเป็นเครื่องหมายระหว่างคำได้ เช่น stden-comfile#computer555 เป็นต้น
ส่วนขยาย (Extensions) เป็นส่วนที่ช่วยให้ระบบปฏิบัติการทราบได้ว่าเป็นไฟล์
ชนิดใดต้องใช้โปรแกรมใดในการเปิดอ่านข้อมูลเหล่านั้น ส่วนขยายจะประกอบด้วย
ตัวอักษรไม่เกิน 4 ตัวอยู่หลังชื่อไฟล์ โดยมีจุด (.) คั่นระหว่างชื่อไฟล์กับส่วนขยาย
เรียกส่วนขยายว่าเป็นนามสกุลของไฟล์
ภายในระบบปฏิบัติการช่วยให้สามารถจัดเก็บข้อมูลออกเป็นส่วนๆ เป็นกลุ่ม
หรือหมวดหมู่เดียวกันได้ ทำให้การเก็บข้อมูลบนพื้นที่ในหน่วยความจำของคอม
พิวเตอร์มีระเบียบมากขึ้น ที่เรียกว่า “โฟลเดอร์” (Folder) ช่วยให้ผู้สามารถค้นหา
และเรียกใช้ได้อย่างสะดวกโดยมีโครงสร้างเหมือนกับต้นไม้ที่มีกิ่งก้านแผ่ขยายออก
ไปออกจากลำต้น
3.2 การจัดการหน่วยความจำ (Memory Management)
การประมวลผลข้อมูลในระบบคอมพิวเตอร์จะต้องอ่านข้อมูลเหล่านั้น ไปไว้ยังหน่วยความจำหลักประเภทแรก ก่อนที่จะทำการประมวลผลข้อมูล
เมื่อมีข้อมูลปริมาณมากหรือมีการทำงานหลายๆ โปรแกรมพร้อมกัน ทำให้พื้นที่ของหน่วยความจำแรมไม่เพียงพอสำหรับการประมวลผลข้อมูล ระบบปฏิบัติการจึงสร้างหน่วยความจำเสมือน (VM-Virtual Memory) โดยใช้เนื้อหาที่จากหน่วยเก็บข้อมูลสำรอง ไดแก่ ฮาร์ดิสก์ มีพื้นที่สำหรับจัดเก็บข้อมูลได้มากกว่าหน่วยความจำ โดยทำการจัดเก็บข้อมูลของโปรแกรมที่ทำงานอยู่ไว้บนไฟล์ ในฮาร์ดดิสก์ เรียกว่า “ สว็อปไฟล์ “ (Swap file) และแบ่งเนื้อที่ของไฟล์ออกเป็นส่วนๆ เรียกว่า “เพจ “ (Page) จากนั้นระบบปฏิบัติการจะเลือกโหลดเฉพาะข้อมูลในเพจที่กำลังใช้งานเข้าสู่หน่วยความจำแรมจนกว่าจะเต็ม เมื่อต้องการใช้พื้นที่ของหน่วยความจำแรมอีกก็จะนำข้อมูลบางเพจที่ยังไม่ใช้งานกลับไปเก็บไว้ที่หน่วยเก็บข้อมูลสำรองก่อน เพื่อทำให้พื้นที่ในหน่วยความจำแรมมีพื้นที่ว่างสำหรับการรับข้อมูลจากเพจใหม่ที่ต้องการใช้งานในขณะนั้นเข้ามาแทนที่ จึงทำให้สามารถจะทำการประมวลผลต่อไปได้ วิธีการนี้เป็นการจัดสรรพื้นที่ในหน่วยความจำมาใช้งานอย่างมีประสิทธิภาพ
3.3 การจัดการอุปกรณ์นำเข้าและแสดงผลข้อมูล (I/O Device Management)
การทำงานของระบบคอมพิวเตอร์ สามารถส่งข้อมูลเข้าสู่ระบบการประมวลผล
จากอุปกรณ์ได้หลายชนิด ในบางครั้งได้ทำการส่งข้อมูลไปประมวลผลเพื่อให้แสดง
ผลลัพธ์ออกมาหลายๆคำสั่ง ในเวลาเดียวกัน หรือในช่วงเวลาที่ใกล้เคียงกัน ดังนั้นระบบปฏิบัติการจะเตรียมพื้นที่ไว้เป็นหน่วยความจำชั่วคราว ที่เรียกว่า “ บัฟเฟอร์”
(Buffer) เพื่อเป็นที่พักข้อมูลเมื่อทำการอ่านข้อมูลเข้ามาแล้ว และรอส่งข้อมูลออกไป
ทางอุปกรณ์แสดงผลข้อมูลต่อไป เช่น การให้ทำการพิมพ์เอกสารออกทางเครื่องพิมพ์
จะสังเกตเห็นว่าเมื่อส่งคำสั่งให้เครื่องพิมพ์ข้อมูลในแถบสถานะอยู่ด้านล่างของจอภาพจะปรากฏรูปเครื่องพิมพ์ที่กำลังพิมพ์ข้อมูลออกมา เป็นการอ่านข้อมูลที่จะพิมพ์ตามคำสั่ง
ก่อนแล้วเครื่องจึงจะเริ่มทำการพิมพ์ข้อมูลในแต่ละหน้าและหน้าต่อไปในขณะที่คำสั่งให้
ทำการพิมพ์เอกสารไปยังเครื่องพิมพ์นั้น ระบบปฏิบัติการจะอ่านข้อมูลทั้งหมดไปเก็บไว้ที่บัฟเฟอร์ก่อน แล้วจึงจะเริ่มพิมพ์เอกสารทางเครื่องพิมพ์ วิธีนี้เรียกว่า “ การทำ Spooling ”
นอกจากนี้ เมื่อสั่งพิมพ์เอกสารหลายๆไฟล์ ระบบจะทำการอ่านข้อมูลเก็บไว้ในคิวแล้ว
เพื่อจัดส่งข้อมูลไปยังเครื่องพิมพ์ตามลำดับต่อไป เมื่อข้อมูลถูกอ่านไปเก็บไว้ในคิวแล้ว
ผู้ใช้สามารถสั่งยกเลิกการพิมพ์เอกสารเหล่านั้นได้
3.4 การจัดการกับหน่วยประมวลผลกลาง (CPU Management)
ระบบคอมพิวเตอร์สามารถทำงานหลายๆงานได้พร้อมกันได้ที่ เรียกว่า “Multi-Tasking” แต่ในความเป็นจริงแล้ว คอมพิวเตอร์สามารถทำงานได้ครั้งละคำสั่งเท่านั้น ดังนั้นระบบปฏิบัติการจึงต้องจัดแบ่งเวลาของซีพียู เพื่อประมวลผลต่างๆ เหล่านั้น โดยทำงานสลับไปมาระหว่างงานแต่ละงานได้ แต่เนื่องจากซีพียูสามารถที่จะประมวลผลได้เร็ว จึงทำให้ผู้ใช้เสมือนว่าซีพียูสามารถทำงานหลายๆงานได้พร้อมกัน การแบ่งเวลาในการประมวลผลข้อมูลจาก ซีพียู ออกเป็นส่วนๆเพื่อให้กับผู้แต่ละคน จะเรียกว่า “Time-Sharing”
3.5 การจัดการความปลอดภัยของระบบ(Protection System)
ภายในระบบปฏิบัติการมีการรักษาความปลอดภัยให้กับข้อมูลและเครื่อง คอมพิวเตอร์ได้ในระดับหนึ่ง โดยการกำหนดขั้นตอนการ log on เพื่อตรวจสอบสิทธิของผู้เข้าไปใช้งานภายในเครื่องคอมพิวเตอร์ โดยการใช้รหัสผ่าน (Password) เมื่อมีผู้ขอ log on เข้าไปในระบบ ผู้ใช้จะต้องพิมพ์รหัสผ่านเพื่อให้ระบบปฏิบัติการนำไปตรวจสอบกับรหัสผ่านที่ได้ทำการบันทึกไว้กับระบบถ้าถูกต้องระบบก็จะอนุญาตให้บุคคลคนนั้นเข้าไปใช้งานได้
4. บอกระบบปฏิบัติการที่ได้รับความนิยมนำมาใช้ งานในปัจจุบันได้
ตอบ 1. ดอส ( DOS : Disk Operating System )
ดอส ( DOS ) เป็นระบบปฏิบัติการที่ได้รับการพัฒนาขึ้นมาประมาณ ค.ศ.1980
เพื่อจะนำมาใช้กับเครื่องคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคลเป็นระบบปฏิบัติการที่ได้รับความนิยมและ
รู้จักกันดีสำหรับผู้ใช้เครื่องคอมพิวเตอร์ในอดีต การทำงานจะใช้วิธีการพิมพ์ชุดคำสั่งแบบคอมพิวเตอร์มานดน์ไลน์ (Command) การใช้คำสั่งให้คอมพิวเตอร์ทำงานตางจุดประสงค์ของผู้ใช้นั้นจะต้องป้อนข้อมูลลงไปทีละบรรทัด การผลิตระบบปฏิบัติการ Dos ขึ้นมาครั้งแรก เรียกว่า PC-DOS มีวัตถุประสงค์เพื่อนำไปใช้งานกับเครื่องคอมพิวเตอร์ของบริษัทไอบีเอ็ม ต่อมาบริษัทไมโครซอฟต์ได้ผลิตระบบปฏิบัติการ DOS ขึ้นมาเพื่อใช้กับคอมพิวเตอร์ทั่วๆไป
2. วินโดวส์ ( Windows )
เป็นระบบปฏิบัติการที่ได้ถูกพัฒนาต่อมาจาก DOS เนื่องจากการใช้งานบนระบบปฏิบัติการ DOS ผู้ใช้จำเป็นจดจำรูปแบบคำสั่งในการใช้งาน สร้างความยุ่งยาก
ให้แก่ผู้ใช้งานที่ไม่ชำนาญ บริษัทไมโครซอฟต์ได้นำรูปแบบกราฟฟิกมาใช้เป็นหลัก
การในการสร้างเมนูคำสั่งหรือปุ่มคำสั่งการทำงานต่างๆ เข้าใช้แทนการป้อนคำสั่งที่
ละบรรทัด
3. ยูนิกซ์ ( Unix )
เป็นระบบการปฏิบัติการที่ถูกพัฒนาขึ้นมานับตั้งแต่การนำไปใช้กับเครื่องมินิคอมพิวเตอร์ซึ่งเป็นระบบปฏิบัติการที่เหมาะสมสำหรับผู้ที่มีความรู้ ความชำนาญด้านคอมพิวเตอร์เป็นอย่างดีและระบบปฏิบัติการ Unix เป็นระบบปฏิบัติการที่เป็นเทคโนโลยีแบบเปิด ( Open System) เป็นแนวคิดที่ผู้ใช้ไม่จำเป็นต้องยึดติดกับระบบใดระบบหนึ่ง หรือการใช้อุปกรณ์ที่มียี่ห้อเดียว
กัน
4. ลินุกซ์ ( Linux )
เป็นระบบปฏิบัติการ Unix ตระกลูหนึ่งที่ได้รับการพัฒนาเพื่อเป็น ระบบปฏิบัติการที่สามารถปฏิบัติงานบนเครื่องคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคลได้ เป็นระบบปฏิบัติการที่ได้รับความนิยมมาเนื่องจากเป็นซอฟต์แวร์แจกฟรี
5. แมคอินทอช (Macintosh)
เป็นระบบปฏิบัติการสำหรับเครื่องไมโครคอมพิวเตอร์ แมคอินทอช
เป็นเครื่องไมโครคอมพิวเตอร์ที่นำมาใช้กับงานเฉพาะด้าน ได้แก่ งานด้านกราฟฟิก การออแบบ และสิ่งพิมพ์ จึงพบว่านิยมใช้ในสำนักพิมพ์ โรงพิมพ์ต่างๆ ระบบปฏิบัติการนี้จะสนับสนุนการใช้งานแบบกราฟฟิก (GUI) เช่น เดียวกับระบบปฏิบัติการ Windows
ตอบ ระบบปฏิบัติการ คือ โปรแกรมที่ทำหน้าที่เป็นสื่อกลางในการประสานงาน
ระหว่างการทำงานของซอร์ฟแวร์ต่างๆ และอุปกรณ์คอมพิวเตอร์ โดยมีวัตถุประ
สงค์เพื่อให้ผู้ใช้สามารถปฏิบัติงานบนเครื่องคอมพิวเตอร์ได้
หน้าที่หลักของระบบปฏิบัติการ ประกอบด้วย 3 หน้าที่หลัก ได้แก่ การติดต่อกับผู้ใช้ การควบคุมอุปกรณ์และการทำงานต่างๆของระบบคอมพิวเตอร์ และการจัด
สรรทรัพยากรภายในระบบ
การติดต่อกับผู้ใช้ (User Interface)
การบูตเครื่อง เป็นกระบวนการทำงานแรก เพื่อสั่งให้เครื่องคอมพิวเตอร์เริ่มต้นการทำงานเป็นขั้นตอนการโหลดโปรแกรมระบบปฏิบัติการไปเก็บไว้ในหน่วยความจำแรม ดังนั้นโปรแกรม หรือชุดคำสั่งแรกที่จะถูกติดตั้งลงไปในฮาร์ดดิสก์ของเครื่องคอมพิวเตอร์ คือ โปรแกรมระบบปฏิบัติการ มิเช่นนั้นเครื่องคอมพิวเตอร์จะไม่สามารถที่จะเปิดขึ้นาใช้งานได้ การบูตเครื่องประกอบด้วย 2 สถานะ
1.1 Cold Boot คือ การเปิดเครื่องคอมพิวเตอร์มาใช้งานในขณะที่เครื่องคอมพิวเตอร์นั้นยังปิดอยู่ เป็นการเปิดคอมพิวเตอร์เพื่อเริ่มต้นใช้งาน
1.2 Warm Boot คือ การเปิดเครื่องคอมพิวเตอร์มาใช้งานในขณะที่เครื่องคอมพิวเตอร์นั้นเปิดใช้งานอยู่แล้ว
การควบคุมอุปกรณ์และการทำงานต่างๆของระบบคอมพิวเตอร์
เครื่องคอมพิวเตอร์จะมีอุปกรณ์เชื่อมต่ออีกหลายชนิดที่จะนำมาใช้ร่วมกัน เช่น เมาส์ คีย์บอร์ด เครื่องพิมพ์ เครื่องสแกนเนอร์ จอภาพ เป็นต้น อุปกรณ์เหล่านี้จะมีความแตกต่างกันดังนั้นระบบปฏิบัติการมีหน้าที่ควบคุมการทำงานของโปรแกรม และอุปกรณ์ต่างๆช่วยจัดการให้ผู้ใช้สามารถใช้งานอุปกรณ์เหล่านี้ได้ โดยผู้ใช้ส่งคำสั่งการทำงานไปยังอุปกรณ์ต่างๆผ่านทางโปรแกรมที่ทำงานติดต่อระหว่างระบบปฏิบัติการกับโปรแกรมของผู้ใช้
การจัดสรรทรัพยากรภายในระบบ
ระบบปฏิบัติการช่วยจัดสรรพยากรของระบบซึ่งมีอยู่อย่างจำกัดให้สามารถทำงานหลายๆงานได้ ทรัพยากรหลักๆได้แก่ ทรัพยากรด้านโพรเซสเซอร์ (CPU) ด้านหน่วยความจำ (Memory) ด้านอุปกรณ์นำเข้า/แสดงผล(Input/Output Devices) และข้อมูล (Data)
2. จำแนกประเภทของระบบปฏิบัติการได้
ตอบ ระบบปฏิบัติการ แบ่งออกเป็น 3ประเภท คือ
2.1 ระบบปฏิบัติการแบบเดี่ยว (Stand-alone Operating System)
ระบบปฏิบัติการแบบเดี่ยว เป็นระบบปฏิบัติการที่ใช้กับเครื่องคอมพิวเตอร์ที่ให้บริการ
แก่ผู้ใช้เพียงคนเดียว เช่น การใช้เครื่องคอมพิวเตอร์ภายในบ้าน หรือคอมพิวเตอร์ภายในสำนักงาน ในการการพิมพ์เอกสาร การดูหนัง ฟังเพลง หรือการนำไปเชื่อมต่อระบบอินเตอร์เน็ต เป็นต้น ระบบปฏิบัติการที่นิยมใช้ เช่น DOS(Disk Operating System)Windows Vista XP,Windows Vista เป็นต้น
2.2 ระบบปฏิบัติการแบบเครือข่าย (Network Operating System)
ระบบปฏิบัติการแบบเครือข่าย เป็นระบบปฏิบัติการที่รองรับการทำงานของระบบเครือข่ายคอมพิวเตอร์ มีรูปแบบการทำงานแบบ Multi-user ใช้สำหรับการปฏิบัติงานภายในองค์กร หรือ หน่วยงานทั่วๆไปโดยการติดตั้งระบบปฏิบัติการชนิดนี้จะใช้สำหรับระบบเครือข่ายแบบไคลเอนท์เซิร์ฟเวอร์ (Client/server) ติดตั้งระบบปฏิบัติการไว้ที่เครื่องเซิร์ฟเวอร์ (Server) เพื่อทำหน้าที่เป็นผู้ให้บริการข้อมูลส่งข้อมูลไปยังผู้ใช้แต่ละคนภายในระบบ ระบบปฏิบัติการที่นิยมใช้ เช่น Unix Linux Windows Server Solaris เป็นต้น
2.3 ระบบปฏิบัติการแบบฝัง (Embeded Operating System)
ระบบการปฏิบัติการแบบฝัง เป็นระบบปฏิบัติการที่ใช้ในคอมพิวเตอร์ ชนิดพกพาทั่วๆไป เช่น Palm , Pocket PC เป็นต้น อุปกรณ์คอมพิวเตอร์พกพาปัจจุบันเป็นที่นิยมอย่างแพร่หลาย เนื่องจากสามารถนำมาใช้เป็นอุปกรณ์สื่อสาร บันทึกข้อมูล ดูหนัง ฟังเพลง และเชื่อมต่ออินเตอร์เน็ตได้อีกด้วย ระบบปฏิบัติการที่นิยมใช้ เช่น Pocket PC Palm OS , Symbian OS เป็นต้น
3. อธิบายองค์ประกอบของระบบปฏิบัติการได้
ตอบ ภายในระบบปฏิบัติการมีองค์ประกอบที่สำคัญได้แก่ การจัดไฟล์ การจัดการหน่วยความจำ การจัดการอุปกรณ์นำเข้าแสดงผลข้อมูล การจัดการกับหน่วยประมวลผลกลาง และการจัดการความปลอดภัยของระบบ เป็นต้น
3.1 การจัดการไฟล์ (File Managemrent )
การจัดเก็บข้อมูลลงในสื่อบันทึกข้อมูลชนิดต่างๆ เช่น ฟลอบปีดิสก์ ฮาร์ดดิสก์ หน่วยความจำแฟลช เป็นต้น การจัดเก็บข้อมูลใดๆ จะต้องระบุชื่อไฟล์ (File Name) และส่วนขยาย (Extensions) เพื่อความสะดวกในการเรียกใช้ข้อมูล เป็นการแบ่งแยกชนิดของไฟล์ข้อมูล
ชื่อไฟล์ (File Name) ในยุคแรกๆนั้นจะใช้ระบบปฏิบัติการประเภทคอม
มานด์ไลน์ เช่น ระบบปฏิบัติการ DOS การตั้งชื่อไฟล์จะสามารถตั้งได้ไม่เกิน
8 อักขระและตัวอักษรที่ใช้ในการตั้งชื่อจะใช้เฉพาะตัวอักษรภาษาอังกฤษเท่านั้น
แต่ในปัจจุบันสามารถตั้งชื่อไฟล์มากถึง 256 อักขระ สามรถใช้ได้ทั้งภาษาอังกฤษ
และภาษไทย นิยมตั้งชื่อโดยไม่ให้มีช่องว่าง แต่จะใช้สัญลักษณ์ต่างๆเป็นเครื่องหมายระหว่างคำได้ เช่น stden-comfile#computer555 เป็นต้น
ส่วนขยาย (Extensions) เป็นส่วนที่ช่วยให้ระบบปฏิบัติการทราบได้ว่าเป็นไฟล์
ชนิดใดต้องใช้โปรแกรมใดในการเปิดอ่านข้อมูลเหล่านั้น ส่วนขยายจะประกอบด้วย
ตัวอักษรไม่เกิน 4 ตัวอยู่หลังชื่อไฟล์ โดยมีจุด (.) คั่นระหว่างชื่อไฟล์กับส่วนขยาย
เรียกส่วนขยายว่าเป็นนามสกุลของไฟล์
ภายในระบบปฏิบัติการช่วยให้สามารถจัดเก็บข้อมูลออกเป็นส่วนๆ เป็นกลุ่ม
หรือหมวดหมู่เดียวกันได้ ทำให้การเก็บข้อมูลบนพื้นที่ในหน่วยความจำของคอม
พิวเตอร์มีระเบียบมากขึ้น ที่เรียกว่า “โฟลเดอร์” (Folder) ช่วยให้ผู้สามารถค้นหา
และเรียกใช้ได้อย่างสะดวกโดยมีโครงสร้างเหมือนกับต้นไม้ที่มีกิ่งก้านแผ่ขยายออก
ไปออกจากลำต้น
3.2 การจัดการหน่วยความจำ (Memory Management)
การประมวลผลข้อมูลในระบบคอมพิวเตอร์จะต้องอ่านข้อมูลเหล่านั้น ไปไว้ยังหน่วยความจำหลักประเภทแรก ก่อนที่จะทำการประมวลผลข้อมูล
เมื่อมีข้อมูลปริมาณมากหรือมีการทำงานหลายๆ โปรแกรมพร้อมกัน ทำให้พื้นที่ของหน่วยความจำแรมไม่เพียงพอสำหรับการประมวลผลข้อมูล ระบบปฏิบัติการจึงสร้างหน่วยความจำเสมือน (VM-Virtual Memory) โดยใช้เนื้อหาที่จากหน่วยเก็บข้อมูลสำรอง ไดแก่ ฮาร์ดิสก์ มีพื้นที่สำหรับจัดเก็บข้อมูลได้มากกว่าหน่วยความจำ โดยทำการจัดเก็บข้อมูลของโปรแกรมที่ทำงานอยู่ไว้บนไฟล์ ในฮาร์ดดิสก์ เรียกว่า “ สว็อปไฟล์ “ (Swap file) และแบ่งเนื้อที่ของไฟล์ออกเป็นส่วนๆ เรียกว่า “เพจ “ (Page) จากนั้นระบบปฏิบัติการจะเลือกโหลดเฉพาะข้อมูลในเพจที่กำลังใช้งานเข้าสู่หน่วยความจำแรมจนกว่าจะเต็ม เมื่อต้องการใช้พื้นที่ของหน่วยความจำแรมอีกก็จะนำข้อมูลบางเพจที่ยังไม่ใช้งานกลับไปเก็บไว้ที่หน่วยเก็บข้อมูลสำรองก่อน เพื่อทำให้พื้นที่ในหน่วยความจำแรมมีพื้นที่ว่างสำหรับการรับข้อมูลจากเพจใหม่ที่ต้องการใช้งานในขณะนั้นเข้ามาแทนที่ จึงทำให้สามารถจะทำการประมวลผลต่อไปได้ วิธีการนี้เป็นการจัดสรรพื้นที่ในหน่วยความจำมาใช้งานอย่างมีประสิทธิภาพ
3.3 การจัดการอุปกรณ์นำเข้าและแสดงผลข้อมูล (I/O Device Management)
การทำงานของระบบคอมพิวเตอร์ สามารถส่งข้อมูลเข้าสู่ระบบการประมวลผล
จากอุปกรณ์ได้หลายชนิด ในบางครั้งได้ทำการส่งข้อมูลไปประมวลผลเพื่อให้แสดง
ผลลัพธ์ออกมาหลายๆคำสั่ง ในเวลาเดียวกัน หรือในช่วงเวลาที่ใกล้เคียงกัน ดังนั้นระบบปฏิบัติการจะเตรียมพื้นที่ไว้เป็นหน่วยความจำชั่วคราว ที่เรียกว่า “ บัฟเฟอร์”
(Buffer) เพื่อเป็นที่พักข้อมูลเมื่อทำการอ่านข้อมูลเข้ามาแล้ว และรอส่งข้อมูลออกไป
ทางอุปกรณ์แสดงผลข้อมูลต่อไป เช่น การให้ทำการพิมพ์เอกสารออกทางเครื่องพิมพ์
จะสังเกตเห็นว่าเมื่อส่งคำสั่งให้เครื่องพิมพ์ข้อมูลในแถบสถานะอยู่ด้านล่างของจอภาพจะปรากฏรูปเครื่องพิมพ์ที่กำลังพิมพ์ข้อมูลออกมา เป็นการอ่านข้อมูลที่จะพิมพ์ตามคำสั่ง
ก่อนแล้วเครื่องจึงจะเริ่มทำการพิมพ์ข้อมูลในแต่ละหน้าและหน้าต่อไปในขณะที่คำสั่งให้
ทำการพิมพ์เอกสารไปยังเครื่องพิมพ์นั้น ระบบปฏิบัติการจะอ่านข้อมูลทั้งหมดไปเก็บไว้ที่บัฟเฟอร์ก่อน แล้วจึงจะเริ่มพิมพ์เอกสารทางเครื่องพิมพ์ วิธีนี้เรียกว่า “ การทำ Spooling ”
นอกจากนี้ เมื่อสั่งพิมพ์เอกสารหลายๆไฟล์ ระบบจะทำการอ่านข้อมูลเก็บไว้ในคิวแล้ว
เพื่อจัดส่งข้อมูลไปยังเครื่องพิมพ์ตามลำดับต่อไป เมื่อข้อมูลถูกอ่านไปเก็บไว้ในคิวแล้ว
ผู้ใช้สามารถสั่งยกเลิกการพิมพ์เอกสารเหล่านั้นได้
3.4 การจัดการกับหน่วยประมวลผลกลาง (CPU Management)
ระบบคอมพิวเตอร์สามารถทำงานหลายๆงานได้พร้อมกันได้ที่ เรียกว่า “Multi-Tasking” แต่ในความเป็นจริงแล้ว คอมพิวเตอร์สามารถทำงานได้ครั้งละคำสั่งเท่านั้น ดังนั้นระบบปฏิบัติการจึงต้องจัดแบ่งเวลาของซีพียู เพื่อประมวลผลต่างๆ เหล่านั้น โดยทำงานสลับไปมาระหว่างงานแต่ละงานได้ แต่เนื่องจากซีพียูสามารถที่จะประมวลผลได้เร็ว จึงทำให้ผู้ใช้เสมือนว่าซีพียูสามารถทำงานหลายๆงานได้พร้อมกัน การแบ่งเวลาในการประมวลผลข้อมูลจาก ซีพียู ออกเป็นส่วนๆเพื่อให้กับผู้แต่ละคน จะเรียกว่า “Time-Sharing”
3.5 การจัดการความปลอดภัยของระบบ(Protection System)
ภายในระบบปฏิบัติการมีการรักษาความปลอดภัยให้กับข้อมูลและเครื่อง คอมพิวเตอร์ได้ในระดับหนึ่ง โดยการกำหนดขั้นตอนการ log on เพื่อตรวจสอบสิทธิของผู้เข้าไปใช้งานภายในเครื่องคอมพิวเตอร์ โดยการใช้รหัสผ่าน (Password) เมื่อมีผู้ขอ log on เข้าไปในระบบ ผู้ใช้จะต้องพิมพ์รหัสผ่านเพื่อให้ระบบปฏิบัติการนำไปตรวจสอบกับรหัสผ่านที่ได้ทำการบันทึกไว้กับระบบถ้าถูกต้องระบบก็จะอนุญาตให้บุคคลคนนั้นเข้าไปใช้งานได้
4. บอกระบบปฏิบัติการที่ได้รับความนิยมนำมาใช้ งานในปัจจุบันได้
ตอบ 1. ดอส ( DOS : Disk Operating System )
ดอส ( DOS ) เป็นระบบปฏิบัติการที่ได้รับการพัฒนาขึ้นมาประมาณ ค.ศ.1980
เพื่อจะนำมาใช้กับเครื่องคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคลเป็นระบบปฏิบัติการที่ได้รับความนิยมและ
รู้จักกันดีสำหรับผู้ใช้เครื่องคอมพิวเตอร์ในอดีต การทำงานจะใช้วิธีการพิมพ์ชุดคำสั่งแบบคอมพิวเตอร์มานดน์ไลน์ (Command) การใช้คำสั่งให้คอมพิวเตอร์ทำงานตางจุดประสงค์ของผู้ใช้นั้นจะต้องป้อนข้อมูลลงไปทีละบรรทัด การผลิตระบบปฏิบัติการ Dos ขึ้นมาครั้งแรก เรียกว่า PC-DOS มีวัตถุประสงค์เพื่อนำไปใช้งานกับเครื่องคอมพิวเตอร์ของบริษัทไอบีเอ็ม ต่อมาบริษัทไมโครซอฟต์ได้ผลิตระบบปฏิบัติการ DOS ขึ้นมาเพื่อใช้กับคอมพิวเตอร์ทั่วๆไป
2. วินโดวส์ ( Windows )
เป็นระบบปฏิบัติการที่ได้ถูกพัฒนาต่อมาจาก DOS เนื่องจากการใช้งานบนระบบปฏิบัติการ DOS ผู้ใช้จำเป็นจดจำรูปแบบคำสั่งในการใช้งาน สร้างความยุ่งยาก
ให้แก่ผู้ใช้งานที่ไม่ชำนาญ บริษัทไมโครซอฟต์ได้นำรูปแบบกราฟฟิกมาใช้เป็นหลัก
การในการสร้างเมนูคำสั่งหรือปุ่มคำสั่งการทำงานต่างๆ เข้าใช้แทนการป้อนคำสั่งที่
ละบรรทัด
3. ยูนิกซ์ ( Unix )
เป็นระบบการปฏิบัติการที่ถูกพัฒนาขึ้นมานับตั้งแต่การนำไปใช้กับเครื่องมินิคอมพิวเตอร์ซึ่งเป็นระบบปฏิบัติการที่เหมาะสมสำหรับผู้ที่มีความรู้ ความชำนาญด้านคอมพิวเตอร์เป็นอย่างดีและระบบปฏิบัติการ Unix เป็นระบบปฏิบัติการที่เป็นเทคโนโลยีแบบเปิด ( Open System) เป็นแนวคิดที่ผู้ใช้ไม่จำเป็นต้องยึดติดกับระบบใดระบบหนึ่ง หรือการใช้อุปกรณ์ที่มียี่ห้อเดียว
กัน
4. ลินุกซ์ ( Linux )
เป็นระบบปฏิบัติการ Unix ตระกลูหนึ่งที่ได้รับการพัฒนาเพื่อเป็น ระบบปฏิบัติการที่สามารถปฏิบัติงานบนเครื่องคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคลได้ เป็นระบบปฏิบัติการที่ได้รับความนิยมมาเนื่องจากเป็นซอฟต์แวร์แจกฟรี
5. แมคอินทอช (Macintosh)
เป็นระบบปฏิบัติการสำหรับเครื่องไมโครคอมพิวเตอร์ แมคอินทอช
เป็นเครื่องไมโครคอมพิวเตอร์ที่นำมาใช้กับงานเฉพาะด้าน ได้แก่ งานด้านกราฟฟิก การออแบบ และสิ่งพิมพ์ จึงพบว่านิยมใช้ในสำนักพิมพ์ โรงพิมพ์ต่างๆ ระบบปฏิบัติการนี้จะสนับสนุนการใช้งานแบบกราฟฟิก (GUI) เช่น เดียวกับระบบปฏิบัติการ Windows
วันพุธที่ 15 กันยายน พ.ศ. 2553
หน่วยการเรีบยนรู้ที่ 5 ซอฟต์แวร์
กิจกรรมฝึกทักษะที่ควรเพิ่มให้นักเรียน
1.บอกความหมายและประเภทของซอฟต์แวร์
ตอบ
ซอฟต์แวร์( Software ) คือ โปรแกรมหรือชุดคำสั่งที่สั่งให้คอมพิวเตอร์ทำงานเพื่อให้ได้ผลลัพธ์ตามที่ต้องการ สามารถแบ่งออกเป็น 2 ประเภทคือ
1.ซอฟต์แวร์ระบบ ( System Software )
คือ โปรแกรมหรือชุดคำสั่งที่ทำหน้าที่ควบคุมการปฏิบัติงานของคอมพิวเตอร์ฮาร์ดแวร์ ตลอดจนควบคุมด้านการสื่อสารข้อมูลในระบบเครือข่ายคอมพิวเตอร์
2.ซอฟต์แวร์ประยุกต์ (Application Software)
คือ โปรแกรมคอมพิวเตอร์ที่ถูกพัฒนาขึ้นมาเพื่อให้ระบบคอมพิวเตอร์ทำงานด้านต่างๆตามจุดประสงค์ของผู้ใช้ การพัฒนาโปรแกรมสำหรับนำไปใช้ในการทำงาน
2.อธิบายภาษาคอมพิวเตอร์
ตอบ
ภาษาคอมพิวเตอร์ได้ถูกพัฒนาหลายยุคหลายสมัย เพื่ออำนวยความสะดวกในการเขียนโปรแกรมจัดแบ่งภาษาคอมพิวเตอร์ออกเป็น 5 ยุค ตั้งแต่ยุคที่ 1-5 โดยภาษาในยุคที่ 1 จะจัดอยู่ในกลุ่มภาษาระดับต่ำมีความใกล้เคียงกับภาษาเครื่อง ทำให้สื่อสารกับคอมพิวเตอร์โดยตรง ในยุคที่ 5 รูปแบบภาษามีความใกล้เคียงกับภาษามนุษย์มากขึ้นหรือที่เรียกว่า “ภาษาธรรมชาติ”
3.อธิบายรูปแบบของตัวแปลภาษา
ตอบ
รูปแบบของตัวแปลภาษาสามารถแบ่งได้เป็น 3 ประเภท ดังนี้ คือ
1.แอสแซมเบลอร์(Assemblers)
แอสแซมเบลอร์(Assemblers) เป็นตัวแปลภาษาที่ทำหน้าที่แปลความหมายของสัญลักษณ์เขียนขึ้นด้วยโปรแกรมภาษาแอสแซมบลี(Assembly Language) ทำหน้าที่เป็นตัวกลางในการแปลความหมายของสัญลักษณ์เหล่านั้นให้เป็นเลขฐานสองที่เครื่องคอมพิวเตอร์เข้าใจได้ ภาษาแอสแซมบลีนี้ยังจัดอยู่ในกลุ่มของภาษาระดับต่ำ
(Low-level Language )
2.อินเตอร์พรีเตอร์(Interpreters)
อินเตอร์พรีเตอร์(Interpreters) ทำหน้าที่แปลความหมายของชุดคำสั่ง เขียนขึ้นด้วยโปรแกรมภาษาระดับสูง (High-level Language) โดยวิธีการแปลความหมายในรูปแบบของอินเตอร์พรีเตอร์ คือ การอ่านคำสั่งและแปลความหมายทีละบรรทัดคำสั่ง เมื่อพบข้อผิดพลาดจะแจ้งข้อผิดพลาดให้ผู้เขียนทราบและแก้ไขได้ทันที แต่เมื่อประมวลผลชุดคำสั่งเหล่านั้นแล้ว จะไม่สามารถเก็บไว้ใช้ได้อีก ถ้าต้องการที่จะเรียกใช้ในครั้งต่อไปต้องประมวลผลชุดคำสั่งนี้ใหม่ ทำให้การทำงานของโปรแกรมค่อนข้างช้า จึงเหมาะกับการเขียนโปรแกรมที่มีขนาดเล็ก
3.คอมไพเลอร์(Compilers)
คอมไพเลอร์(Compilers) ทำหน้าที่แปลความหมายของชุดคำสั่ง เขียนขึ้นด้วยโปรแกรมภาษาระดับสูง (High-level Language) เช่นเดียวกับอินเตอร์พรีเตอร์ แต่มีความแตกต่างกันสำหรับวิธีการแปลความหมาย เนื่องจากคอมไพเลอร์ จะออ่านชุดคำสั่งทั้งหมดและแปลความหมายของชุดคำสั่งทั้งหมดในครั้งเดียว เมื่อแปลความหมายของชุดคำสั่งทั้งหมดแล้วจะได้เป็น Object Code หรือ สัญลักษณ์ของรหัสคำสั่ง ที่สามารถเก็บไว้ได้เมื่อต้องการใช้งานในครั้งต่อไปโดยไม่ต้องเสียเวลาในการแปลชุดคำสั่งนั้นอีก จึงเหมาะกับการเขียนโปรแกรมที่มีขนาดใหญ่
1.บอกความหมายและประเภทของซอฟต์แวร์
ตอบ
ซอฟต์แวร์( Software ) คือ โปรแกรมหรือชุดคำสั่งที่สั่งให้คอมพิวเตอร์ทำงานเพื่อให้ได้ผลลัพธ์ตามที่ต้องการ สามารถแบ่งออกเป็น 2 ประเภทคือ
1.ซอฟต์แวร์ระบบ ( System Software )
คือ โปรแกรมหรือชุดคำสั่งที่ทำหน้าที่ควบคุมการปฏิบัติงานของคอมพิวเตอร์ฮาร์ดแวร์ ตลอดจนควบคุมด้านการสื่อสารข้อมูลในระบบเครือข่ายคอมพิวเตอร์
2.ซอฟต์แวร์ประยุกต์ (Application Software)
คือ โปรแกรมคอมพิวเตอร์ที่ถูกพัฒนาขึ้นมาเพื่อให้ระบบคอมพิวเตอร์ทำงานด้านต่างๆตามจุดประสงค์ของผู้ใช้ การพัฒนาโปรแกรมสำหรับนำไปใช้ในการทำงาน
2.อธิบายภาษาคอมพิวเตอร์
ตอบ
ภาษาคอมพิวเตอร์ได้ถูกพัฒนาหลายยุคหลายสมัย เพื่ออำนวยความสะดวกในการเขียนโปรแกรมจัดแบ่งภาษาคอมพิวเตอร์ออกเป็น 5 ยุค ตั้งแต่ยุคที่ 1-5 โดยภาษาในยุคที่ 1 จะจัดอยู่ในกลุ่มภาษาระดับต่ำมีความใกล้เคียงกับภาษาเครื่อง ทำให้สื่อสารกับคอมพิวเตอร์โดยตรง ในยุคที่ 5 รูปแบบภาษามีความใกล้เคียงกับภาษามนุษย์มากขึ้นหรือที่เรียกว่า “ภาษาธรรมชาติ”
3.อธิบายรูปแบบของตัวแปลภาษา
ตอบ
รูปแบบของตัวแปลภาษาสามารถแบ่งได้เป็น 3 ประเภท ดังนี้ คือ
1.แอสแซมเบลอร์(Assemblers)
แอสแซมเบลอร์(Assemblers) เป็นตัวแปลภาษาที่ทำหน้าที่แปลความหมายของสัญลักษณ์เขียนขึ้นด้วยโปรแกรมภาษาแอสแซมบลี(Assembly Language) ทำหน้าที่เป็นตัวกลางในการแปลความหมายของสัญลักษณ์เหล่านั้นให้เป็นเลขฐานสองที่เครื่องคอมพิวเตอร์เข้าใจได้ ภาษาแอสแซมบลีนี้ยังจัดอยู่ในกลุ่มของภาษาระดับต่ำ
(Low-level Language )
2.อินเตอร์พรีเตอร์(Interpreters)
อินเตอร์พรีเตอร์(Interpreters) ทำหน้าที่แปลความหมายของชุดคำสั่ง เขียนขึ้นด้วยโปรแกรมภาษาระดับสูง (High-level Language) โดยวิธีการแปลความหมายในรูปแบบของอินเตอร์พรีเตอร์ คือ การอ่านคำสั่งและแปลความหมายทีละบรรทัดคำสั่ง เมื่อพบข้อผิดพลาดจะแจ้งข้อผิดพลาดให้ผู้เขียนทราบและแก้ไขได้ทันที แต่เมื่อประมวลผลชุดคำสั่งเหล่านั้นแล้ว จะไม่สามารถเก็บไว้ใช้ได้อีก ถ้าต้องการที่จะเรียกใช้ในครั้งต่อไปต้องประมวลผลชุดคำสั่งนี้ใหม่ ทำให้การทำงานของโปรแกรมค่อนข้างช้า จึงเหมาะกับการเขียนโปรแกรมที่มีขนาดเล็ก
3.คอมไพเลอร์(Compilers)
คอมไพเลอร์(Compilers) ทำหน้าที่แปลความหมายของชุดคำสั่ง เขียนขึ้นด้วยโปรแกรมภาษาระดับสูง (High-level Language) เช่นเดียวกับอินเตอร์พรีเตอร์ แต่มีความแตกต่างกันสำหรับวิธีการแปลความหมาย เนื่องจากคอมไพเลอร์ จะออ่านชุดคำสั่งทั้งหมดและแปลความหมายของชุดคำสั่งทั้งหมดในครั้งเดียว เมื่อแปลความหมายของชุดคำสั่งทั้งหมดแล้วจะได้เป็น Object Code หรือ สัญลักษณ์ของรหัสคำสั่ง ที่สามารถเก็บไว้ได้เมื่อต้องการใช้งานในครั้งต่อไปโดยไม่ต้องเสียเวลาในการแปลชุดคำสั่งนั้นอีก จึงเหมาะกับการเขียนโปรแกรมที่มีขนาดใหญ่
วันพุธที่ 1 กันยายน พ.ศ. 2553
การเปรียบเทียบลักษณะตัวเรากับต้นมะละกอ
ลำต้น เปรียบเสมือน ขาของคนเรา
กิ่ง/ก้าน เปรียบเสมือน แขนของคนเรา
เปรียบเทียบการปรุงอาหาร
ต้นมะละกอ ปรุงอาหารโดยใช้แสงจากดวงอาทิตย์สังเคราะห์คลอโรฟิวล์
คน ปรุงอาหารโดยการใช้ก๊าซหุงต้ม ถ่านไฟ
เปรียบเทียบการหายใจ
ตันมะละกอ หายใจเอาคาร์บอนไดออกไซด์เข้า แล้วคายออกซิเจนออก
คน หายใจเอาออกซิเจนเข้า แล้วหายใจเอาคาร์บอนไดออกไซด์
เปรียบเทียบการรับแสงจากดวงอาทิตย์
ต้นมะละกอ สามารถรับแสงจากดวงอาทิตย์ในปริมาณมากได้
คน สามารถรับแสงจากดวงอาทิตย์ได้แต่ในปริมาณที่พอเหมาะ และแสงแดดไม่แรงจนเกินไปเพราะจะทำให้เป็นโรคมะเร็งผิวหนัง
กิ่ง/ก้าน เปรียบเสมือน แขนของคนเรา
เปรียบเทียบการปรุงอาหาร
ต้นมะละกอ ปรุงอาหารโดยใช้แสงจากดวงอาทิตย์สังเคราะห์คลอโรฟิวล์
คน ปรุงอาหารโดยการใช้ก๊าซหุงต้ม ถ่านไฟ
เปรียบเทียบการหายใจ
ตันมะละกอ หายใจเอาคาร์บอนไดออกไซด์เข้า แล้วคายออกซิเจนออก
คน หายใจเอาออกซิเจนเข้า แล้วหายใจเอาคาร์บอนไดออกไซด์
เปรียบเทียบการรับแสงจากดวงอาทิตย์
ต้นมะละกอ สามารถรับแสงจากดวงอาทิตย์ในปริมาณมากได้
คน สามารถรับแสงจากดวงอาทิตย์ได้แต่ในปริมาณที่พอเหมาะ และแสงแดดไม่แรงจนเกินไปเพราะจะทำให้เป็นโรคมะเร็งผิวหนัง
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)